2.2อนุภาคในอะตอมและไอโซโทป
อนุภาคในอะตอม
อะตอมประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานที่สำคัญ 3 อนุภาค ได้แก่
1.อิเล็กตรอน(electron)
2.โปรตอน(proton)
3.นิวตรอน(neutron)
อนุภาคขนาดเล็กคือโปรตอน, นิวตรอน และอิเล็กตรอน มีคุณสมบัติต่างกันดังตาราง
อนุภาค
|
สัญลักษณ์
|
ประจุ(คูลอมบ์)
|
น้ำหนัก(กิโลกรัม)
|
โปรตอน
|
p
|
+1.60x10-19
|
1.67x10-27
|
นิวตรอน
|
n
|
ไม่มีประจุ
|
1.67x10-27
|
อิเล็กตรอน
|
e-
|
-1.60x10-19
|
9.11x10-31
|
จากตาราง
อะตอมที่เป็นกลางทางไฟฟ้าจะมีประจุบวกเท่ากับประจุลบ แสดงว่าในอะตอมมีจำนวนโปรตอนเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนซึ่งในอะตอมจะมีโปรตอนจำนวนเท่ากับ "เลขอะตอม"
จำนวนโปรตอน = จำนวนอิเล็กตรอน
โปรตอนกับนิวตรอนเป็นอนุภาคที่มีน้ำหนักมากเมื่อเทียบกับอิเล็กตรอน ดังนั้นมวลของอะตอมก็คือจำนวนโปรตอนรวมกับจำนวนนิวตรอน นั่นคือ "เลขมวล"
เลขมวล = จำนวนโปรตอน + จำนวนนิวตรอน
เราสามารถเขียนเป็นสัญลักษณ์เพื่อระบุเลขอะตอมและเลขมวลได้ดังนี้
เมื่อ A แทน เลขมวล
Z แทน เลขอะตอม
X แทน สัญลักษณ์ของธาตุ
เช่น 
เลขอะตอม = จำนวนโปรตอน = จำนวนอิเล็กตรอน
11 = จำนวนโปรตอน = จำนวนอิเล็กตรอน
เลขมวล = จำนวนโปรตอน + จำนวนนิวตรอน
23 = 11 + จำนวนนิวตรอน
จำนวนนิวตรอน = 23 - 11 = 12
นั่นคือ ธาตุโซเดียมมีจำนวนโปรตอน, อิเล็กตรอนและนิวตรอนเท่ากับ 11, 11, 12 ตามลำดับ
ถ้าอยากทราบว่าธาตุใดมีจำนวนโปรตอน, นิวตรอนและอิเล็กตรอนเท่าใด ให้คลิกที่ธาตุนั้นได้เลย
จะเห็นได้ว่า ธาตุแต่ละธาตุมีจำนวนโปรตอน, นิวตรอนและอิเล็กตรอนต่างกันไป ทำให้แต่ละธาตุมีสมบัติทางเคมีต่างกัน
อนุภาคต่างๆ ทั้งโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน มีขนาดเล็กมากๆ ซึ่งเล็กกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผม นักวิทยาศาสตร์สามารถค้นพบอนุภาคเหล่านี้ได้อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
อิเล็กตรอน(electron) |
ผู้ค้นพบ
เจ เจ ทอมสัน (J.J. Thomson)
ทำอย่างไรจึงค้นพบ ทอมสัน ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการนำไฟฟ้าของแก๊สในหลอดรังสีแคโทด วิธีทำการทดลองและผลการทดลอง หลอดรังสีแคโทด เป็นหลอดแก้วที่สูบอากาศออกหมด แล้วบรรจุแก๊สเข้าไป เมื่อให้กระแสไฟฟ้า 10,000 โวลต์ แล้ววางฉากเรืองแสงที่ฉาบด้วยซิงค์ซัลไฟต์(ZnS) ไว้ภายในหลอด จะเห็นเส้นเรืองสีเขียวพุ่งจากแคโทดไปยังแอโนด เรียกรังสีนี้ว่า "รังสีแคโทด"
เพื่อความมั่นใจว่ารังสีนั้นพุ่งจากแคโทดไปยังแอโนดจริง เขาจึงดัดแปลงหลอดรังสีแคโทดใหม่ ทำให้เขาเห็นรังสีพุ่งเป็นเส้นตรงมาจากแคโทดไปกระทบกับฉากเรืองแสง
เขาทำการทดลองต่อไป เพื่อทดสอบสมบัติของรังสีนี้ โดยเพิ่มขั้วไฟฟ้า 2 ขั้วเพื่อทำให้เกิดสนามไฟฟ้า พบว่ารังสีเบี่ยงเบนเข้าหาขั้วบวก เขาจึงสรุปว่ารังสีแคโทดประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุลบ
นอกจากนี้ เขาได้ทดลองให้รังสีแคโทดอยู่ในสนามแม่เหล็ก ปรากฎว่ารังสีเบนไปอีกทิศทางหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามกับรังสีแคโทดที่อยู่ในสนามไฟฟ้า
จะได้ว่า เมื่อรังสีแคโทดอยู่ในสนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็ก รังสีจะเบนไปจากแนวเดิม โดยรังสีจะวิ่งไปหาขั้วบวกของสนามไฟฟ้า ส่วนสนามแม่เหล็กนั้นรังสีวิ่งไปหาขั้วใต้ ดังนั้นเขาจึงผ่านสนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กไปยังรังสีแคโทด แล้วใช้อีกสนามหนึ่งมาทำให้รังสีเบนกลับเป็นเส้นตรงเหมือนเดิม แรงผลักของไฟฟ้าจะบอกว่ามีกี่ประจุ ส่วนแรงผลักจากสนามแม่เหล็กนั้นจะบอกว่าอนุภาคมีน้ำหนักเท่าใด เขาจึงหาอัตราส่วนประจุต่อมวลของอิเล็กตรอนได้
สรุปผลการทดลอง อิเล็กตรอนเป็นองค์ประกอบร่วมที่พบในธาตุใดก็ได้ เพราะเมื่อเขาทำการทดลองซ้ำโดยเปลี่ยนชนิดของโลหะที่ใช้เป็นขั้วแคโทด และเปลี่ยนชนิดของแก๊สที่บรรจุ แต่ผลการทดลองยังได้เหมือนเดิม อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคที่มีประจุลบ อัตราส่วนประจุต่อมวลของอิเล็กตรอนเท่ากับ 1.76 X 108 คูลอมบ์ต่อกรัม
การทดลองหยดน้ำมัน(oil drop experiment)ของมิลลิแกน
รอเบิร์ต แอนดรูส์ มิลลิแกน (Millikan)
มิลลิแกน ได้ทำการทดลองเพื่อหาค่าประจุของอิเล็กตรอนโดยวิธีหยดน้ำมัน ทำได้โดย พ่นน้ำมันเป็นละอองเม็ดเล็ก ๆ ให้ตกลงมาระหว่างแผ่นโลหะ 2 แผ่น แล้วใช้รังสีเอกซ์ไปดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอมของแก๊สในอากาศ แล้วให้อิเล็กตรอนไปเกาะหยดน้ำมัน พบว่า แต่ละหยดน้ำมันมีอิเล็กตรอนมาเกาะจำนวนไม่เท่ากัน นั่นคือ หยดน้ำมันบางหยดมีอิเล็กตรอนเกาะติดเพียงตัวเดียว บางหยดก็มีมากกว่า 1 ตัว หยดน้ำมันจะตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก จากนั้นให้กระแสไฟฟ้าเข้าไปในแผ่นประจุบวกและลบ แผ่นประจุลบซึ่งอยู่ด้านล่างผลักหยดน้ำมันที่มีอิเล็กตรอนมาเกาะจนหยุดนิ่ง ซึ่งดูได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์(microscope) แสดงว่า แรงโน้มถ่วงของโลกเท่ากับแรงจากสนามไฟฟ้า แล้วคำนวณหาค่าประจุ
จากผลการทดลองมิลลิแกนคำนวณหาค่าประจุของอิเล็กตรอนได้คือ 1.60 X 10-19 คูลอมบ์ ซึ่งเป็นค่าประจุของอิเล็กตรอน 1 อิเล็กตรอน จากการทดลองของมิลลิแกน เราทราบค่า e = 1.60 X 10-19 คูลอมบ ์ จากการทดลองของทอมสัน เราทราบค่า e/m = 1.76 X 108 คูลอมบ์/กรัม แทนค่า 1.60 X 10-19/m = 1.76 X 108 m = 9.11 X 10-28 กรัม ดังนั้จะทราบมวลของอิเล็กตรอนเท่ากับ 9.11 X 10-28 กรัม
| โปรตอน(proton) |
| ผู้ค้นพบ
ออยเกน โกลด์ชไตน์(Eugen Goldstein)
ทำอย่างไรจึงค้นพบ เขาได้ศึกษาเรื่องการนำไฟฟ้าของแก๊ส วิธีทำการทดลอง เขาดัดแปลงหลอดรังสีแคโทด โดยเพิ่มฉากเรืองแสงที่ด้านหลังขั้วแคโทด และเจาะรู้ด้านขั้วแคโทด
เขาได้ดัดแปลงหลอดรังสีแคโทด โดยขั้วแคโทดและขั้วแอโนดอยู่ตรงกลางหลอด เพิ่มฉากเรืองแสงที่ปลายหลอดรังสีแคโทดทั้งสองด้าน
ผลการทดลอง
เมื่อบรรจุแก๊สไฮโดรเจนในหลอดรังสีแคโทด แล้วให้กระแสไฟฟ้าแก่ขั้วไฟฟ้าทั้งสอง พบว่าขั้วแคโทดจะปล่อยอิเล็กตรอนออกมา เมื่ออิเล็กตรอนชนกับอะตอมของแก๊สไฮโดรเจนจะให้โปรตอน โปรตอนซึ่งมีประจุบวกถูกดึงดูดโดยขั้วแคโทดซึ่งมีประจุลบไปตกกระทบยังฉากเรืองแสง ปริมาณอิเล็กตรอนในหลอดรังสีแคโทดมีมากมาย ทำให้มีโปรตอนไปตกกระทบที่ฉากเรืองแสงมากมาย จนเราสังเกตเห็นเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังฉากหลังขั้วแคโทด
สรุปผลการทดลอง อนุภาคที่ถูกดึงดูดโดยขั้วไฟฟ้าที่เป็นลบ ต้องเป็นอนุภาคที่มีประจุบวก ต่อมานักวิทยาศาสตร์เรียกว่า"โปรตอน " เนื่องจากถูกดึงดูดโดยขั้วแคโทดซึ่งเป็นขั้วลบ และโดนแรงผลักจากขั้วแอโนดซึ่งเป็นขั้วบวก
นิวตรอนเป็นอนุภาคที่ถูกค้นพบช้าที่สุด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
นิวตรอน(neutron) |
| ผู้ค้นพบ
เจมส์ แชดวิก(James Chadwick)
ทำอย่างไรจึงค้นพบ
เขาได้พิจารณาจากแบบจำลองของรัทเทอร์ฟอร์ด จะพบว่ามวลรวมของอะตอมน่าจะมีค่าเท่ากับมวลรวมของโปรตอนได้เลย เพราะว่าอิเล็กตรอนมีมวลน้อยมาก แต่จากการพิจารณามวลอะตอมของธาตุบางธาตุกลับมีมวลเป็นสองเท่าหรือมากกว่าสองเท่า เช่น ฮีเลียมมี 2 โปรตอนและ 2 อิเล็กตรอน น่าจะมีมวลอะตอม 2 หน่วย แต่กลับมี 4 หน่วย เขาจึงคิดว่าน่าจะมีอนุภาคอื่นนอกจากโปรตอนและอิเล็กตรอนในอะตอม ซึ่งอนุภาคนี้ทำให้มวลอะตอมเพิ่มขึ้น
วิธีทำการทดลอง
เขาระดมยิงเบริลเลียม(Be)ด้วยอนุภาคแอลฟา( ) ซึ่งได้จากธาตุพอโลเนียม(Po) จากนั้น ทดลองซ้ำโดยเปลี่ยนเบริลเลียมเป็นธาตุอื่น เช่น โบรอน(B), ไนโตรเจน(N), ออกซิเจน(O), อาร์กอน(Ar) ฯลฯ
ผลการทดลอง จากการทดลองพบว่า เมื่อระดมยิงเบริลเลียม(Be)ด้วยอนุภาคแอลฟา( )จะตรวจพบ ดังสมการ
นอกจากนั้น เขายังทำการทดลองกับโบรอน(B)
และ เขายังทำการทดลองกับไนโตรเจน(N), ออกซิเจน(O), อาร์กอน(Ar) ฯลฯ ทุกครั้งที่เขาทำการทดลอง เขาจะตรวจพบ ทุกครั้ง
สรุปผลการทดลอง เขาพบอนุภาคใหม่คือ เขาให้ชื่ออนุภาคนี้ว่า "นิวตรอน" ซึ่งมีมวลใกล้เคียงโปรตอนและเป็นกลางทางไฟฟ้า ด้วยคุณสมบัติของนิวตรอนคือเป็นกลางทางไฟฟ้า จึงไม่เบี่ยงเบนในหลอดรังสีแคโทดทำให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบอนุภาคนี้ช้าที่สุด
การค้นพบนิวตรอนทำให้โครงสร้างอะตอมของดาลตัน, ทอมสันและรัทเทอร์ฟอร์ดไม่ถูกต้อง เพราะไม่มีนิวตรอนในโครงสร้างอะตอม จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดของนักวิทยาศาสตร์ในเรื่องโครงสร้างอะตอม หลังจากนั้นจึงเกิดโครงสร้างอะตอมของโบร์ขึ้นมาแทนที่โครงสร้างอะตอมแบบเดิม ๆ
ไอโซโทป
เมื่อพิจารณาอนุกรมการสลายของธาตุกัมมันตรังสีจะพบว่า มีนิวเคลียสบางกลุ่มซึ่งทุกนิวเคลียสมีเลขอะตอมมเท่ากัน แต่มีเลขมวลต่างกัน เช่น กลุ่มของยูเรเนียม ซึ่งมียูเรเนียม -234 ยูเรเนียม -235 และยูเรเนียม -238 นิวเคลียสในกลุ่มนี้ต่างมีเลขอะตอมเท่ากันคือ 92 แต่มีจำนวนนิวตรอนในนิวเคลียสต่างกัน เราเรียกนิวเคลียสที่มีจำนวนโปรตอนเท่ากัน แต่มีจำนวนนิวตรอนต่างกันนี้ว่าเป็น ไอโซโทปของธาตุเดียวกัน
ไอโซโทปของธาตุอาจมีชนิดที่ไม่เสถียรซึ่งเรียกว่า ไอโซโทปกัมมันตรังสี และชนิดที่ไม่มีการสลายต่อไปซึ่งเรียกว่า ไอโซโทปเสถียร เช่น ไอโซโทปของตะกั่วมี 5 ชนิด ซึ่งเป็นไอโซโทปกัมมันตรังสี 2 ชนิด คือตะกั่ว -210 และตะกั่ว -214 สำหรับธาตุบางธาตุอาจมีแต่ไอโซโทปกัมมันตรังสีเท่านั้น
เนื่องจากไอโซโทปของธาตุเดียวกันมีเลขอะตอมเท่ากัน แต่เลขมวลต่างกัน จึงมีสมบัติทางเคมีเหมือนกันแต่สมบัติทางกายภาพต่างกน ดังนั้นการวิเคราะห์ไอโซโทปของธาตุชนิดหนึ่งจึงไม่สามารถกระทำได้โดยอาศัยปฏิกิริยาเคมี แต่ด้วยเหตุที่ไอโซโทปมีสมบัติทางกายภาพต่างกันเช่น มีมวลต่างกัน การวิเคราะห์ไอโซโทปจึงสามารถกระทำได้โดยจำแนกมวลของไอโซโทปมวลของไอโซโทปของธาตุชนิดเดียวกันมีความแตกต่างกันน้อยมาก การวิเคราะห์ไอโซโทปจึงต้องใช้เครื่องมือที่สามารถวัดมวลได้ละเอียดมาก เครื่องมือประเภทนี้ได้แก่ แมสสเปกโทรมิเตอร์ (mass spectrometer) ดังจะได้ศึกษารายละเอียดในการหาค่ามวลดังต่อไปนี้
รูป 20.10 ส่วนประกอบที่สำคัญของแมสสเปกโทรมิเตอร์
แมสสเปกโทรมิเตอร์เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์มวลอะตอมของธาตุต่างๆ โดยอาศัยหลักการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าในสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า ส่วนประกอบที่สำคัญของแมสสเปกโทรมิเตอร์ คือ ส่วนเร่งอนุภาค ส่วนคัดเลือกความเร็วและส่วนวิเคราะห์ ดังรูป 20.10 ส่วนเร่งอนุภาคมีหน้าที่ทำให้ไอโซโทปที่เป็นแก๊สกลายสภาพเป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า จากนั้นอนุภาคนี้จะถูกเร่งให้พุ่งผ่านช่องที่ทำไว้และเข้าไปยังส่วนคัดเลือกความเร็ว ซึ่งประกอบด้วยบริเวณที่มีสนามไฟฟ้า และสนามแม่เหล็ก ซึ่งมีทิศตั้งฉากกันและตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่ผ่านเข้ามา ดังรูป 20.11 ดังนั้นแรงที่กระทำต่อนุภาคอันเนื่องจากสนามทั้งสองจึงมีทิศทางตรงข้ามกัน
รูป 20.11 หลักการทำงานของส่วนคัดเลือกความเร็ว
ถ้าอนุภาคมีความเร็วพอเหมาะขนาดของแรงอันเนื่องมากจากสนามทั้งสองจะมีค่าเท่ากันจึงทำให้เกิดสมดุลของแรง มีผลให้อนุภาคเคลื่อนที่ต่อไปโดยไม่เปลี่ยนแนวการเคลื่อนที่ และสามารถพุ่งตรงไปผ่านช่องอีกช่องหนึ่งที่ทำไว้ได้ ส่วนอนุภาคที่มีความเร็วแตกต่างไปจากค่าที่พอเหมาะจะมีแนวการเคลื่อนที่จะเบี่ยงเบน ทำให้ไม่สามารถทะลุผ่านช่องที่สองไปได้
ถ้าให้อนุภาคที่เคลื่อนที่ผ่านช่องที่หนึ่งเข้ามาในบริเวณที่มีสนามไฟฟ้า และสนามแม่เหล็ก มีอัตราเร็วเท่ากับ v และประจุไฟฟ้าของอนุภาคนั้นเป็น q เมื่อเกิดสมดุลจะได้ว่า qvB = qE หรือ จะเห็นได้ว่าสามารถหาอัตราเร็ว v ได้จากอัตราส่วนของขนาดสนามไฟฟ้าและขนาดสนามแม่เหล็กในบริเวณส่วนคัดเลือกความเร็วดังนั้นกลุ่มอนุภาคที่มีอัตราเร็วดังกล่าวนี้จะเคลื่อนที่เข้าสู่ส่วนวิเคราะห์ซึ่งมีสนามแม่เหล็ก ที่มีทิศตั้งฉากกับแนวการเคลื่อนที่ของอนุภาคทำให้เกิดแรงเนื่องจากสนามแม่เหล็กนี้บังคับให้อนุภาคที่มีมวลต่างกันเคลื่อนที่เป็นแนวโค้งรูปวงกลม ดังรูป 20.12
รูป 20.12 ส่วนวิเคราะห์ที่มีสนามแม่เหล็ก 
ตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุ
เพราะอนุภาคที่มีมวลต่างกันเคลื่อนที่เป็นแนวโค้งรูปวงกลมที่มีรัศมีต่างกัน ดังนั้นเมื่ออนุภาคเหล่านั้นกระทบแผ่นฟิล์มจะทำให้เกิดรอยดำ ถ้า R เป็นรัศมีความโค้งของวงกลม และ m เป็นมวลของอนุภาคและ B เป็นสนามแม่เหล็กในบริเวณนี้ จะได้ว่า
(20.7)
สมการ (20.7) แสดงว่า มวลของอนุภาคแปรผันตรงกับรัศมีความโค้ง และเนื่องจากมวลของแต่ละไอโซโทปแตกต่าง
กัน ดังนั้นรัศมีความโค้งของแต่ละไอโซโทปจะแตกต่างกัน การวัดรัศมีจึงเป็นหลักการที่เครื่องมือนี้วิเคราะห์ไอโซโทปได้
ในการวิเคราะห์ผลค่า E, B, B , R เป็นค่าที่รู้จากการทดลอง และ q คือประจุไฟฟ้าของอนุภาคดังนั้นเราจึงสามารถหาค่ามวล m ได้ วิธีการนี้ทำให้เราสามารถหาค่ามวลอะตอมของธาตุต่างๆ ได้ค่ามวลอะตอมของไอโซโทปบางชนิดแสดงไว้ในตาราง 20.3
ตาราง 20.3 แสดงค่ามวลอะตอมของธาตุบางธาตุ
ธาตุ
|
เลขอะตอม
|
เลขมวล
|
มวลอะตอม (u)
|
ปริมาณในธรรมชาติ (%)
|
ไฮโดรเจน
|
1
|
1
|
1.007825
|
99.98
|
|
1
|
2
|
2.014102
|
0.02
|
|
1
|
3
|
3.016049
|
-
|
ฮีเลียม
|
2
|
3
|
3.016029
|
|
|
2
|
4
|
4.002604
|
|
|
2
|
5
|
5.012297
|
-
|
|
2
|
6
|
6.018893
|
-
|
ลิเทียม
|
3
|
5
|
5.012538
|
-
|
|
3
|
6
|
6.015126
|
7.4
|
|
3
|
7
|
7.016005
|
92.6
|
|
3
|
8
|
8.022487
|
-
|
เบริลเลียม
|
4
|
7
|
7.016929
|
-
|
|
4
|
8
|
8.005308
|
-
|
|
4
|
9
|
9.012186
|
100
|
|
4
|
10
|
10.013534
|
-
|
คาร์บอน
|
6
|
10
|
10.016810
|
-
|
|
6
|
11
|
11.011432
|
-
|
|
6
|
12
|
12.000000
|
98.9
|
|
6
|
13
|
13.003354
|
1.1
|
|
6
|
14
|
14.003242
|
-
|
ไนโตรเจน
|
7
|
12
|
12.018641
|
-
|
|
7
|
13
|
13.005738
|
-
|
|
7
|
14
|
14.003074
|
99.635
|
|
7
|
15
|
15.000108
|
0.365
|
|
7
|
16
|
16.006103
|
-
|
|
7
|
17
|
17.008450
|
-
|
ออกซิเจน
|
8
|
14
|
14.008597
|
-
|
|
8
|
15
|
15.003070
|
-
|
|
8
|
16
|
15.994915
|
99.759
|
|
8
|
17
|
16.999134
|
0.037
|
|
8
|
18
|
17.999160
|
0.204
|
|
8
|
21
|
21.008730
|
-
|
ทองคำขาว
|
78
|
191
|
190.961665
|
|
|
78
|
192
|
191.961019
|
0.79
|
|
78
|
193
|
192.962977
|
-
|
|
78
|
194
|
193.962655
|
32.9
|
|
78
|
195
|
194.964766
|
33.8
|
|
78
|
196
|
195.964926
|
23.3
|
ทองคำ
|
79
|
197
|
196.966543
|
100.00
|
ตะกั่ว
|
82
|
204
|
203.973020
|
1.4
|
|
82
|
206
|
205.974440
|
24.1
|
|
82
|
207
|
206.97582
|
22.1
|
|
82
|
208
|
207.976627
|
52.4
|
ทอเรียม
|
90
|
232
|
232.038054
|
100.00
|
|
90
|
234
|
234.043953
|
|
|
90
|
235
|
235.047510
|
|
หมายเหตุ ธาตุที่ไม่ได้ระบุปริมาณในธรรมชาติเป็นธาตุกัมมันตรังสี
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น