วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

บทที่3.พันธะเคมี(3.5)

3.5การใช้ประโยชน์ของสารประกอบไอออนิก โคเวเลนต์ และโลหะ




บทที่3.พันธะเคมี(3.4)


พันธะโลหะ
                   จากการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นนักเรียนคงทราบแล้วว่าโลหะส่วนใหญ่มีสถานะเป็นของแข็ง มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง นอกจากนี้โลหะสามารถนำไฟฟ้าและนำความร้อนได้ดี จากสมบัติที่กล่าวมาแล้วนักเรียนคิดว่าอะตอมของโลหะน่าจะยึดกันด้วยพันธะชนิดเดียวกับสารไอออนิกที่ได้ศึกษามาแล้วหรือไม่ ให้ศึกษาสมบัติบางประการของโลหะจากตาราง 2.16

ตาราง 2.16  สมบัติบางประการของสาร
สารตัวอย่างสมบัติของสาร
ลักษณะที่
ปรากฎ
การนำ
ไฟฟ้า
จุด
หลอมเหลว(oC)
จุดเดือด (oC)
สารประกอบ
ไอออนิก
  โซเดียมคลอไรด์
(NaCl)
ของแข็งสีขาวไม่นำ8011465
แคลเซียมฟลูออไรด์
\displaystyle (CaF_2) 
ของแข็งสีขาวไม่นำ14182533
โพแทสเซียมไอโอไดด์
(Kl)
ของแข็งสีขาวไม่นำ6811330
สาร
โคเวเลนต์
น้ำตาลทราย
\displaystyle C_12 H_22 O_11
ของแข็งสีขาวไม่นำ192 (สลายตัว) -
เอทานอล\displaystyle C_2 H_5 OHของเหลวใส
ไม่มีสี
ไม่นำ-114.178.3
แก๊สไฮโดรเจน \displaystyle H_2แก๊สไม่มีสี
ไม่มีกลิ่น
ไม่นำ-259-253
สารโครงผลึก-
ร่างตาข่าย
เพชร (C)ของแข็งใส
ไม่มีสี
ไม่นำ35504830
แกรไฟต์ (C)  ของแข็งสีดำนำ3727*3640
โลหะเหล็ก (Fe)ของแข็งสีเงินวาวนำ15352750
ทองแดง (Cu)ของแข็งสีน้ำตาลแดงนำ10852572
โครเมียม (Cr)ของแข็งสีเงินวาวนำ18572672


* ค่าที่แสดงเป็นค่าโดยประมาณที่ได้จากการทดลองภายใต้ความดันที่เหมาะสม

                    จากสมบัติของโลหะในตาราง 2.16  แสดงว่าอะตอมของโลหะควรยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะที่แตกต่างจากพันธะไอออนิกและพันธะโคเวเลนต์ สำหรับการเกิดพันธะในโลหะอธิบายได้ว่าอะตอมของโลหะมีค่าพลังงานไอออไนเซชันต่ำจึงเสียเวเลนซ์อิเล็กตรอนแล้วกลายเป็นไอออนบวกได้ง่าย เวเลนซ์อิเล็กตรอนที่หลุดออกมานี้สามารถเคลื่อนที่อย่างอิสระไปได้ทั่วทั้งก้อนโลหะ แรงยึดเหนี่ยวอย่างแข็งแรงระหว่างไอออนบวกกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนที่เป็นอิสระนี้เรียกว่า พันธะโลหะ ดังนั้นความแข็งแรงของพันธะโลหะจึงขึ้นอยู่กับจำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนและประจุของไอออนบวกของโลหะแต่ละชนิดการเกิดพันธะในโลหะอาจแสดงได้ด้วยแบบจำลองทะเลอิเล็กตรอน ดังรูป 2.24


รูป 2.24  แบบจำลองทะเลอิเล็กตรอนในโลหะ

2.3.1  สมบัติของโลหะ
                   จากแบบจำลองทะเลอิเล็กตรอน จะเห็นว่าอะตอมของโลหะอยู่ค่อนข้างชิดกันและเรียงต่อเนื่องกันไม่มีที่สิ้นสุด โดยมีอิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปทั่วทั้งก้อนโลหะ ทำให้โลหะมีสมบัติเฉพาะตัวหลายประการที่แตกต่างจากสารอื่นเราอาจใช้แบบจำลองทะเลอิเล็กตรอนอธิบายสมบัติทางภายภาพของโลหะได้ เช่น โลหะสามารถนำความร้อนและไฟฟ้าได้ เนื่องจากเมื่อให้ความร้อนแก่โลหะ เวเลนซ์อิเล็กตรอนจะมีพลังงานสูงขึ้นจึงเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น เมื่อเกิดการชนกันจะถ่ายโอนพลังงานบางส่วนแก่กันและถูกถ่ายโอนต่อเนื่องกันไปจนทั่วก้อนโลหะ โลหะจึงนำความร้อนได้ และการที่โลหะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระทั่วทั้งก้อนโลหะ จึงทำให้โลหะนำไฟฟ้าได้ดี โลหะมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูงเพราะว่าอะตอมโลหะยึดกันไว้อย่างแข็งแรงด้วยพันธะโลหะทุกอะตอม การหลอมเหลวหรือทำให้กลายเป็นไอจึงต้องใช้พลังงานสูงมาก เช่น การหลอมเหลวทองแดงต้องใช้อุณหภูมิสูงถึง 1085 \displaystyle  (^\circ C)และการทำให้ทองแดงเดือดกลายเป็นไอต้องใช้อุณหภูมิสูงถึง 2572 \displaystyle  (^\circ C)สำหรับการตีโลหะให้แผ่ออกเป็นแผ่นและดึงเป็นเส้นได้นั้นอธิบายได้ว่า อะตอมโลหะจัดเรียงตัวเป็นชั้นๆ อย่างมีระเบียบ การทุบแผ่นโลหะเป็นการผลักให้ชั้นของอะตอมโลหะเลื่อนไถลออกไปจากตำแหน่งเดิม ทำให้แผ่นโลหะยาวออกไปและบางลง แต่อะตอมของโลหะในตำแหน่งใหม่ไม่หลุดออกจากกันเพราะมีกลุ่มเวเลนซ์อิเล็กตรอนยึดอนุภาคเหล่านั้นไว้ ดังนั้นจึงตีโลหะให้แผ่ออกเป็นแผ่นบางๆ หรือดัดให้โค้งงอ หรือดึงเป็นเส้นได้ ดังรูป 2.25

รูป 2.25  การเลื่อนไถลของอะตอมโลหะเมื่อถูกแรงกระทำ


                 นอกจากนี้โลหะยังสามารถสะท้อนแสงได้ ซึ่งเกิดจากกลุ่มเวเลนซ์อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ได้โดยอิสระ เมื่อกระทบกับแสงซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อิเล็กตรอนเหล่านั้นจะรับและปล่อยคลื่นแสงออกมา ผิวของโลหะจึงเป็นมันวาวและสะท้อนแสงได้ดี อย่างไรก็ตามยังมีสมบัติบางประการของโลหะที่ไม่สามารถใช้แบบจำลองนี้อธิบายได้ ซึ่งนักเรียนจะได้ศึกษาในระดับสูงต่อไป

บทที่3.พันธะเคมี(3.3)

3.3พันธะโคเวเลนต์

พันธะโคเวเลนต์
                 จากการศึกษาข้อมูลพบว่า น้ำตาลทราย เอทานอลหรือแก๊สไฮโดรเจน มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวต่ำ เมื่อละลายในน้ำแล้วสารละลายที่ได้ไม่นำไฟฟ้า แสดงว่าสารกลุ่มนี้ละลายน้ำแล้วไม่แตกตัวเป็นไอออน ดังนั้นสารเหล่านี้คงไม่มีไอออนบวกและไอออนลบเป็นองค์ประกอบ รวมทั้งแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมน่าจะแตกต่างจากสารประกอบไอออนิก นักเรียนคิดว่าอะตอมของสารกลุ่มนี้ยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงชนิดใด

2.2.1  การเกิดพันธะโคเวเลนต์
               โมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจนประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจน 2 อะตอม ไฮโดรเจนทั้งสองอะตอมรวมกันอย่างไร
ไฮโดรเจนเป็นธาตุที่มีค่า IE สูงจึงเสียอิเล็กตรอนได้ยาก เมื่อไฮโดรเจน 2 อะตอมอยู่ใกล้กันจะเกิดแรงดึงดูดระหว่างอิเล็กตรอนกับโปรตอนในนิวเคลียสของทั้งสองอะตอม จึงมีแนวโน้มสูงที่จะพบอิเล็กตรอนทั้งสองอยู่ในบริเวณระหว่างนิวเคลียสของทั้งสองอะตอม และดึงดูดให้นิวเคลียสเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะมีแรงผลักระหว่างโปรตอนกับโปรตอนและระหว่างอิเล็กตรอนกับอิเล็กตรอนของแต่ละอะตอมด้วย  เมื่ออะตอมทั้งสองเข้ามาใกล้กันในระยะที่เหมาะสม อะตอมทั้งสองจะมีพลังงานต่ำสุดและอยู่รวมกันเป็นโมเลกุลโดยใช้อิเล็กตรอนร่วมกันแรงดึงดูดที่ทำให้อะตอมอยู่รวมกันได้ในลักษณะนี้เรียกว่า พันธะโคเวแลนต์ โมเลกุลของสารที่อะตอมยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์เรียกว่า โมเลกุลโคเวเลนต์ และสารที่ประกอบด้วยอะตอมที่สร้างพันธะโคเวเลนต์เรียกว่า สารโคเวเลนต์

 
รูป 2.11  แรงดึงดูดและแรงผลักในโมเลกุล \displaystyle H_2<

                  นักเรียนคิดว่าการรวมตัวของไฮโดรเจนสองอะตอมเป็นโมเลกุลจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานอย่างไร ให้ศึกษาจากกราฟ 2.12

 

รูป 2.12  กราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานในการเกิดโมเลกุลไฮโดรเจน

                  จากกราฟ เมื่ออะตอมของไฮโดรเจนสองอะตอมอยู่ห่างกัน อะตอมของไฮโดรเจนทั้งคู่จะมีพลังงานศักย์ค่าหนึ่งเมื่ออะตอมเคลื่อนที่เข้าใกล้กัน จะเกิดแรงดึงดูดระหว่างอิเล็กตรอนกับโปรตอน ขณะเดียวกันก็จะเกิดแรงผลักระหว่างโปรตอนกับโปรตอนและระหว่างอิเล็กตรอนกับอิเล็กตรอนด้วย แรงดึงดูดและแรงผลักดังกล่าวจะทำให้พลังงานศักย์ลดลง เมื่ออะตอมทั้งสองเข้าใกล้กันมากขึ้นอีก พลังงานศักย์จะลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งนิวเคลียสของอะตอมทั้งสองอยู่ห่างกันเป็นระยะ 74 พิโกเมตร ผลรวมของแรงดึงดูดและแรงผลักทำให้พลังงานศักย์ของไฮโดรเจนทั้งสองอะตอมลดลงมากที่สุด ซึ่งมีค่าน้อยกว่าพลังงานเริ่มต้น 436 กิโลจูลต่อโมล ไฮโดรเจนทั้งสองอะตอมจะใช้อิเล็กตรอนร่วมกันเกิดเป็นโมเลกุลที่เสถียรมาก ถ้าอะตอมทั้งสองเข้าใกล้กันมากกว่านี้ แรงผลักระหว่างนิวเคลียสและระหว่างอิเล็กตรอนจะเพิ่มขึ้นทำให้พลังงานศักย์ของโมเลกุลสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนอะตอมทั้งสองอยู่ร่วมกันเป็นโมเลกุลไม่ได้ นักเรียนคิดว่านอกจากโมเลกุลของไฮโดรเจนแล้วยังมีโมเลกุลใดอีกที่มีการใช้อิเล็กตรอนร่วมกันแบบนี้

2.2.2  ชนิดของพันธะโคเวเลนต์
               นักเรียนทราบแล้วว่าเมื่ออะตอมของธาตุรวมกันเกิดเป็นสารประกอบจะทำให้แต่ละอะตอมมีเวเลนต์อิเล็กตรอนเป็น 8 ตามกฎออกเตต เช่น การรวมตัวของธาตุไฮโดรเจนกับธาตุฟลูออรีนเกิดเป็นไฮโดรเจนฟลูออไรด์ ไฮโดรเจนมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 1  ต้องการอีก 1 อิเล็กตรอนจึงจะครบ 2 เหมือนฮีเลียม ส่วนฟลูออรีนมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 7 ต้องการอีก  1  อิเล็กตรอนจึงจะครบ 8 แต่ธาตุทั้งสองมีพลังงานไอออไนเซชันลำดับที่ 1 สูง แสดงว่าเสียอิเล็กตรอนได้ยาก จึงไม่มีอะตอมใดให้อิเล็กตรอน ธาตุทั้งสองจึงใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่ เกิดเป็นพันธะโคเวเลนต์ชนิด พันธะเดี่ยวอิเล็กตรอนคู่ที่ใช้ร่วมกันนี้เรียกว่า อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ
                จากตัวอย่างการเกิดโมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจนหรือไฮโดรเจนฟลูออไรด์ช่วยให้ทราบว่าการเกิดพันธะเคมีจะเกี่ยวข้องกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนของแต่ละอะตอม สำหรับอะตอมที่เกิดพันธะนั้นนักเคมีนิยมใช้การเขียนสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิส* โดยประกอบด้วยสัญลักษณ์ของธาตุหนึ่งแทนนิวเคลียสกับอิเล็กตรอนในชั้นถัดจากเวเลนซ์อิเล็กตรอนเข้าไป และจุดรอบสัญลักษณ์ซึ่งแทนจำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนของธาตุนั้นๆ ในกรณีของธาตุกลุ่มย่อย A (หมู่ IA ถึง VIIIA) ซึ่งมีจำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับเลขหมู่ จึงเขียนสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสแสดงได้ดังตัวอย่าง
 

                ดังนั้นการเกิดพันธะโคเวเลนต์ระหว่างอะตอมของไฮโดรเจนกับฟลูออรีนซึ่งเป็นพันธะเดี่ยว จึงแสดงด้วยสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสได้ดังนี้
  
                ตัวอย่างโมเลกุลโคเวเลนต์อื่นๆ ซึ่งมีพันธะในโมเลเป็นพันธะเดี่ยว เช่น โมเลกุลแก๊สคลอรีน\displaystyle (Cl_2) โมเลกุลน้ำ \displaystyle H_2 O ใช้สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิสแสดงได้ดังนี้
 
               การแสดงการเกิดพันธะโคเวเลนต์ด้วยสัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิส โดยใช้จุด 2 จุด หรืออาจใช้เส้น  1  เส้นแทนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ  1  คู่  ระหว่างอะตอมทั้งสองเรียกว่า โครงสร้างลิวอิส  จากตัวอย่างจะสังเกตเห็นว่าเวเลนซ์อิเล็กตรอนบางอิเล็กตรอนไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิดพันธะอิเล็กตรอนเหล่านี้จะเรียกว่า อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
                  นักเรียนคิดว่าในโมเลกุลของไฮโดรเจนฟลูออไรด์คลอรีนและน้ำ มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวโมเลกุลละเท่าไร
                  ในโมเลกุลของแก๊สออกซิเจน \displaystyle O_2  ซึ่งประกอบด้วยออกซิเจน  2  อะตอม ออกซิเจนมี 6 เวเลนซ์อิเล็กตรอน แต่ละอะตอมต้องการอีก 2 อิเล็กตรอนจึงจะครบ 8 ดังนั้นจึงใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่ เกิดพันธะโคเวเลนต์ชนิด  พันธะคู่ ตัวอย่างโมเลกุลโคเวเลนต์อื่นๆ ที่มีพันธะคู่ในโมเลกุล เช่น โมเลกุลคาร์บอนไดออกไซด์ \displaystyle (CO_2)  เอทิลีน \displaystyle (C_2 H_4)  เขียนโครงสร้างลิวอิสแสดงได้ดังนี้
 

                  ถ้าอะตอมทั้งสองใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 3 คู่ พันธะที่เกิดขึ้นเรียกว่า  พันธะสาม เช่น ในโมเลกุลไนโตรเจน \displaystyle N_2 อะเซทิลีน\displaystyle (C_2 H_4)  เขียนโครงสร้างลิวอิสแสดงได้ดังนี้
 

  
                นอกจากนี้เพื่อความสะดวกอาจใช้เส้น 1 เส้น ( - ) แทนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 1 คู่ สำหรับโมเลกุลที่มีพันธะคู่หรือพันธะสาม จึงเขียนเส้น 2 เส้น ( = ) และ 3 เส้น  \displaystyle \equiv แทนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 2 คู่และ 3 คู่ ตามลำดับ สำหรับอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวจะเขียนแสดงไว้หรือไม่ก็ได้ ดังตัวอย่างในตาราง 2.6

ตาราง 2.6  โครงสร้างลิวอิสของโมเลกุลโคเวเลนต์บางชนิด

 

               จากการที่อะตอมใช้อิเล็กตรอนร่วมกันเพื่อทำให้อะตอมมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบ 8 ตามกฎออกเตต จึงสามารถใช้กฎออกเตตทำนายจำนวนพันธะโคเวเลนต์ของแต่ละอะตอมได้ ตัวอย่างเช่น ธาตุคาร์บอนมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 4 จึงต้องการอีก 4 อิเล็กตรอนเพื่อให้ครบ 8 นั่น คือคาร์บอนจะเกิดพันธะได้ 4 พันธะ ซึ่งอาจเป็นพันธะเดี่ยวทั้งหมดหรืออาจมีพันธะคู่หรือพันธะสามร่วมด้วยก็ได้ เช่น พันธะของคาร์บอนในโมเลกุลอีเทน  เอทิลีน  และอะเซทิลีน ตามลำดับ

 

                  สารโคเวเลนต์บางชนิดประกอบด้วยพันธะโคเวเลนต์ที่อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะมาจากอะตอมใดอะตอมหนึ่งเท่านั้น พันธะที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้เรียกว่า พันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์

ตัวอย่าง  พันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์ในไอออน \displaystyle NH_4^ +



                 ในกรณีนี้ \displaystyle NH_3 มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว  1  คู่ ส่วน \displaystyle H^+เป็นไอออนที่ไม่มีอิเล็กตรอน \displaystyle NH_3 จึงให้อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวแก่\displaystyle H^3เกิดพันธะใหม่ระหว่าง\displaystyle NH_3 กับ\displaystyle H^+ซึ่งเป็นพันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์ อย่างไรก็ตามเมื่อศึกษาเพิ่มเติมต่อไปจะพบว่าพันธะระหว่าง N กับ H ทั้ง  4  พันธะในไอออน \displaystyle NH_4^ + นี้มีลักษณะไม่แตกต่างกัน

ตัวอย่าง  พันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์ในโมเลกุล 

 
               แก๊สโบรอนไตรฟลูออไรด์สามารถทำปฏิกิริยากับแก๊สแอมโมเนียเกิดเป็นสารประกอบ โดยมีพันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์เกิดขึ้นระหว่างอะตอม N กับ B ทำให้อะตอม B มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบ 8

                  - นักเรียนคิดว่า \displaystyle H_3 O^ +มีพันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์ในโมเลกุลหรือไม่ เขียนสมการแสดงการเกิดพันธะได้อย่างไร

2.2.3  โมเลกุลที่ไม่เป็นไปตามกฎออกเตต

                ในโมเลกุลโคเวเลนต์ที่ได้ศึกษามาแล้วส่วนใหญ่อะตอมกลางจะมีจำนวนอิเล็กตรอนล้อมรอบเป็นไปตามกฎออกเตต แต่มีบางโมเลกุลที่จำนวนอิเล็กตรอนรอบอะตอมกลางน้อยกว่า 8 อิเล็กตรอน เช่น ในโมเลกุลเบริลเลียมคลอไรด์  \displaystyle BeCl_2) ซึ่งมีอิเล็กตรอนรอบเบริลเลียมเพียง 4 อิเล็กตรอน หรือในโมเลกุลโบรอนไตรฟลูออไรด์\displaystyle BF_3 มีอิเล็กตรอนรอบโบรอนเพียง 6 อิเล็กตรอนโครงสร้างลิวอิสของสารทั้งสองแสดงดังรูป 2.13
 

รูป 2.13  โครงสร้างลิวอิสในโมเลกุล\displaystyle BeCl_2และ\displaystyle BF_3

                     โมเลกุลโคเวเลนต์หลายชนิดที่มีอิเล็กตรอนรอบอะตอมกลางมากกว่า  8  เช่น  ฟอสฟอรัสเพนตะคลอไรด์ \displaystyle (PCL_5)อะตอมฟอสฟอรัสใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนทั้ง 5  อิเล็กตรอนสร้างพันธะกับคลอรีน 5 พันธะ จึงมีอิเล็กตรอนล้อมรอบ 10 อิเล็กตรอน ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์\displaystyle (SF_6)อะตอมกำมะถันใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนทั้ง 6 อิเล็กตรอนสร้างพันธะกับฟลูออรีน 6 พันธะ จึงมีอิเล็กตรอนล้อมรอบ 12 อิเล็กตรอน เช่นเดียวกับอะตอมของซีนอนในซีนอนเตตระฟลูออไรด์\displaystyle (XeF_4)โมเลกุลโคเวเลนต์ที่กล่าวมาแล้วแสดงได้ดังรูป 2.14

 
รูป 2.14  ตัวอย่างโมเลกุลโคเวเลนต์ที่ไม่เป็นไปตามกฎออกเตต


                 นักเรียนคิดว่าในสารประกอบออกไซด์ของไนโตรเจน เช่น ไนโตรเจนมอนอกไซด์ (NO) ไนโตรเจนไดออกไซด์\displaystyle (NO_2)ไดไนโตรเจนมอนอกไซด์\displaystyle (N_2 O)อะตอมของไนโตรเจนมีอิเล็กตรอนเป็นไปตามกฎออกเตตหรือไม่ อย่างไร

2.2.4  การเขียนสูตรและเรียกชื่อสารโคเวเลนต์
                การเขียนสูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนต์ กำหนดให้เขียนสัญลักษณ์ของธาตุองค์ประกอบเรียงลำดับดังนี้ B   Si  C  P  N  H  Se  S  I  Br  Cl  O  F  ถ้าธาตุใดมีจำนวนอะตอมมากกว่า 1  ให้ระบุจำนวนอะตอมของธาตุนั้นไว้มุมล่างด้านขวาของสัญลักษณ์ เช่น\displaystyle CO_2   \displaystyle BF_3ส่วนการเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์ที่เป็นธาตุคู่ ให้เรียกชื่อธาตุที่อยู่หน้าก่อนแล้วตามด้วยชื่อธาตุที่อยู่ถัดมา โดยเปลี่ยนเสียงพยางค์ ท้ายเป็น ไ-ด์ (-ide) พร้อมทั้งระบุจำนวนอะตอมของแต่ละธาตุด้วยภาษากรีก ดังตาราง 2.7  ในกรณีที่ธาตุแรกมีอะตอมเดียวไม่ต้องระบุจำนวนอะตอมของธาตุนั้น แต่จำนวนอะตอมของธาตุหลังยังคงระบุเช่นเดิม
ตาราง 2.7  จำนวนอะตอมในภาษากรีกที่ใช้เรียกชื่อสารโคเวเลนต์
ภาษากรีกจำนวนอะตอม
มอนอ (mono)
ได (di)
ไตร (tri)
เตตระ (tetra)
เพนตะ (penta)
เฮกซะ (hexa)
เฮปตะ (hepta)
ออกตะ (octa)
โนนะ (nona)
เดคะ (deca)
  1
2
3
4
5
6
7
8
9
10


ตัวอย่างการเขียนสูตรและการเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์  ดังตาราง 2.8

ตาราง 2.8  การเขียนสูตรและการเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์
สารชื่อ
CO
\displaystyle CO_2   
\displaystyle BF_3   
\displaystyle CL_2 O   
\displaystyle SiCl_4   
\displaystyle SF_6  
 \displaystyle P_2 O_5   
\displaystyle P_4 O_{10}  
 \displaystyle Cl_2 O_7
คาร์บอนมอนอกไซด์
คาร์บอนไดออกไซด์
โบรอนไตรฟลูออไรด์
ไดคลอรีนมอนอกไซด์
ซิลิคอนเตตระคลอไรด์
ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์
ไดฟอสฟอรัสเพนตะออกไซด์
เตตระฟอสฟอรัสเดคะออกไซด์
ไดคลอรีนเฮปตะออกไซด์


                  การเรียกชื่อสารโคเวเลนต์ที่มีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบบางชนิดไม่เป็นไปตามหลักที่กำหนดไว้ เช่น\displaystyle H_2 S   ไฮโดรเจนซัลไฟด์) และ HCI (ไฮโดรเจนคลอไรด์) ไม่มีการระบุจำนวนอะตอมของแต่ละธาตุ นอกจากนี้ \displaystyle H_2 O   (น้ำ) \displaystyle NH_3(แอมโมเนีย) และ \displaystyle CH_4 (มีแทน) มักจะเรียกชื่อสารโดยใช้ชื่อสามัญ


2.2.5  ความยาวพันธะและพลังงานพันธะ
                    จากกราฟในรูป 2.12  การเกิดโมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจนนั้น อะตอมของไฮโดรเจนจะเคลื่อนที่เข้าใกล้กันได้มากที่สุดและเกิดสมดุลระหว่างแรงดึงดูดกับแรงผลักที่ระยะ 74 พิโกเมตร ถ้าเข้าใกล้กันมากกว่านี้ แรงผลักจะเพิ่มมากขึ้นและโมเลกุลจะไม่เสถียร ระยะ 74 พิโกเมตรจึงเป็นระยะที่สั้นที่สุดที่นิวเคลียสของอะตอมทั้งสองสร้างพันธะกันในโมเลกุล ระยะนี้เรียกว่า ความยาวพันธะ ความยาวพันธะหาได้จากการศึกษาการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ (X - ray diffraction) ผ่านโครงผลึกของสารหรือจากการศึกษาวิเคราะห์สเปกตรัมของโมเลกุลของสาร
นักเรียนคิดว่าความยาวพันธะระหว่างอะตอมคู่เดียวกันในโมเลกุลของสารต่างชนิดกัน มีค่าเท่ากันหรือไม่ให้ศึกษาข้อมูลในตาราง 2.9

ตาราง 2.9  ความยาวพันธะระหว่าง      O - H  ในโมเลกุลของสารต่างชนิดกัน

                  - จงสืบค้นข้อมูลเพื่อศึกษาว่าความยาวพันธะเฉลี่ยของ O-H มีค่าเท่าใด และเปรียบเทียบกับค่าที่แสดงไว้ในตาราง

                   เมื่อพิจารณาข้อมูลในตารางจะพบว่าความยาวพันธะระหว่างอะตอม O กับ H ในโมเลกุลของสารต่างชนิดกันมีค่าแตกต่างกันและแตกต่างจากข้อมูลที่สืบค้นได้คือความยาวพันธะ O-H เท่ากับ 97 พิโกเมตร เนื่องจากความยาวพันธะระหว่างอะตอมคู่หนึ่งหาได้จากค่าเฉลี่ยของความยาวพันธะระหว่างอะตอมคู่เดียวกันในโมเลกุลชนิดต่างๆ ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงความยาวพันธะ โดยทั่วไปจึงหมายถึง ความยาวพันธะเฉลี่ย
สำหรับความยาวพันธะเฉลี่ยระหว่างอะตอมคู่ต่างๆแสดงดังตาราง 2.10

ตาราง 2.10  ความยาวพันธะเฉลี่ย (ในหน่วย pm ) ระหว่างอะตอมคู่ต่างๆ
พันธะเดี่ยวพันธะคู่พันธะสาม
H - H                  74
H - F                  92
H - Cl                  128
H - Br                  141
H - I                  160
H - N                  101
H - O                  97
H - S                  134
N - Cl                 197
C - C                  154
C - N                  147
N - N                  140
O - O                  148
C - O                  143
C - H                  108
C - Cl                 177
C - Br                 194
C - S                  182
S - O                  161
C = C                  134
C = N                  130
N = N                  125
O = O                  121
C = O                  122


\displaystyle C \equiv C          120
\displaystyle C \equiv N          116
\displaystyle N \equiv N         110



             
     - ความยาวพันธะเฉลี่ยของอะตอมคู่เดียวกัน แต่ชนิดของพันธะแตกต่างกัน มีค่าแตกต่างกันอย่างไร

                   จากกราฟรูป 2.12  การรวมตัวกันของไฮโดรเจนจะมีการสร้างพันธะระหว่างอะตอมเกิดเป็นโมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจนและคายพลังงานออกมา 436 กิโลจูลต่อโมลดังนี้

\displaystyle 2H(g) \to H_2   (g) +436 kj


                  ในทางกลับกันการทำให้โมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจนกลายเป็นไฮโดรเจนอะตอมจะต้องใช้พลังงานอย่างน้อยที่สุด 436 กิโลจูลต่อโมลดังนี้

  \displaystyle H_2 (g) +436 kj \to 2H(g)                                              


                  พลังงานปริมาณน้อยที่สุดที่ใช้เพื่อสลายพันธะระหว่างอะตอมภายในโมเลกุลที่อยู่ในสถานะแก๊สให้เป็นอะตอมเดี่ยวในสถานะแก๊สเรียกว่า พลังงานพันธะ
                  สำหรับโมเลกุลที่ประกอบด้วยอะตอมมากกว่าสองอะตอมจะมีพันธะในโมเลกุลมากกว่าหนึ่งพันธะ การทำให้โมเลกุลสลายเป็นอะตอมเดี่ยวจึงต้องใช้พลังงานสูงเพื่อสลายพันธะจำนวนหลายพันธะ เช่น การสลายโมเลกุลของน้ำ \displaystyle H_2 O จะต้องใช้พลังงานเพื่อสลายพันธะ O-H ดังนี้

                                                                        H - O - H(g) + 502 kJ/mol   -->    H(g)  + O - H(g)
                                                                              O - H(g) + 424 kJ/mol   --> H(g)  + O(g)

                  จะสังเกตได้ว่าการสลายพันธะ O-H แต่ละพันธะในโมเลกุลของน้ำใช้พลังงานไม่เท่ากัน เมื่อคำนวณพลังงานเฉลี่ยของ O-H ในโมเลกุลของน้ำจะได้ 463 กิโลจูลต่อโมล
                  การสลายพันธะ C-H ในโมเลกุลมีเทน \displaystyle CH_4 ใช้พลังงานดังนี้

                  การสลายพันธะ C - H ในโมเลกุลมีเทนแต่ละพันธะใช้พลังงานไม่เท่ากัน ผลรวมของพลังงานที่ใช้สลายพันธะ C - H ทั้ง 4 พันธะเท่ากับ 1652 กิโลจูลต่อโมล จะได้พลังงานพันธะเฉลี่ย C - H เท่ากับ 413 กิโลจูลต่อโมล ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงพลังงานพันธะใดจึงหมายถึง <b>พลังงานพันธะเฉลี่ย</b>
                 นอกจากนี้การสลายพันธะชนิดเดียวกันในสารโคเวเลนต์ชนิดต่างๆ จะใช้พลังงานไม่เท่ากัน ดังนั้นพลังงานพันธะจึงไม่คิดจากการสลายพันธะในโมเลกุลของสารใดสารหนึ่งเท่านั้น แต่คิดเป็นค่าเฉลี่ยของพลังงานที่ต้องใช้สลายพันธะระหว่างอะตอมคู่นั้นในโมเลกุลของสารประกอบหลายชนิด ค่าพลังงานพันธะเฉลี่ยระหว่างอะตอมคู่ต่างๆ แสดงในตาราง 2.11

ตาราง 2.11  พลังงานพันธะเฉลี่ย (ในหน่วย kJ/mol) ระหว่างอะตอมคู่ต่างๆ
พันธะเดี่ยวพันธะคู่พันธะสาม
H - H                  436
H - F                  567
H - Cl                 431
H - Br                 366
H - I                    298
H - N                  391
H - O                  463
H - S                  364
O - S                  521
F - F                  159
Br - Br               192
C - C                   348
C - N                  286
N - N                  158
O - O                  144
C - O                  360
C - H                  413
C - Cl                  327
C - Br                  285
C - S                   289
Cl - Cl                  243
I - I                        151
C = C                  614
C = N                  615
N = N                  470
O = O                  498
C = O                  804



\displaystyle C \equivC   839
\displaystyle C \equivN   890
\displaystyle N \equivN  945






                  - ใช้ข้อมูลในตาราง 2.10  และ  2.11  พิจารณาว่าชนิดของพันธะ ความยาวพันธะและพลังงานพันธะระหว่างอะตอมคู่เดียวกันมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ อย่างไร

                      พลังงานพันธะใช้บอกความแข็งแรงของพันธะโคเวเลนต์ระหว่างอะตอมคู่เดียวกันได้ โดยพันธะที่มีพลังงานพันธะสูงกว่าจะมีความแข็งแรงมากกว่า เช่น พันธะระหว่าง C - C  C = C  มีค่าพลังงานพันธะ 348  614  และ 839  กิโลจูลต่อโมล ตามลำดับ แสดงว่าพันธะสามแข็งแรงกว่าพันธะคู่ และพันธะคู่แข็งแรงกว่าพันธะเดี่ยว จากข้อมูลในตาราง 2.10 และตาราง 2.11  พบว่าอะตอมบางคู่เกิดพันธะได้มากกว่า 1 ชนิด โดยมีความยาวพันธะและพลังงานพันธะแตกต่างกัน ในกรณีของพันธะระหว่างอะตอมคู่เดียวกัน พันธะเดี่ยวจะยาวที่สุดแต่มีพลังงานพันธะต่ำที่สุด ในทางกลับกันพันธะสามจะสั้นที่สุดแต่มีพลังงานพันธะสูงที่สุด แสดงว่าถ้าความยาวพันธะมีค่ามาก พลังงานพันธะจะมีค่าน้อย
                  การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะเกี่ยวข้องกับการสลายพันธะในสารตั้งต้นและการสร้างพันธะในผลิตภัณฑ์ เนื่องจากอะตอมต่างๆ ในโมเลกุลยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะเคมี การสลายพันธะจึงต้องดูดพลังงานและการสร้างพันธะจะมีการคายพลังงาน ถ้าทราบทั้งชนิดและจำนวนของพันธะทั้งหมดที่สลายกับพันธะที่เกิดขึ้นใหม่ เราอาจใช้ค่าพลังงานพันธะคำนวณหาพลังงานของปฏิกิริยา  \displaystyle (\Delta H)ได้  โดยพิจารณาจากผลรวมของพลังงานที่ต้องใช้สลายพันธะในสารตั้งต้น \displaystyle (E_1)  ซึ่งจะมีเครื่องหมายเป็นบวก ( + ) กับผลรวมของพลังงานที่คายออกเมื่อสร้างพันธะใหม่ในผลิตภัณฑ์ \displaystyle (E_2) โดยมีเครื่องหมายเป็นลบ ( - ) เขียนเป็นความสัมพันธ์ได้ดังนี้

                    \displaystyle \Delta H = E_1 + E_2


                ถ้าพลังงานที่ใช้สลายพันธะมีค่ามากกว่าพลังงานที่คายออกเมื่อสร้างพันธะใหม่ ปฏิกิริยานั้นจะเป็นแบบดูดพลังงานและ \displaystyle \Delta Hมีเครื่องหมายเป็นบวก ( + ) ในทางกลับกันถ้า \displaystyle \Delta Hมีเครื่องหมายเป็นลบ ( - ) แสดงว่าพลังงานที่คายออกมามีค่ามากกว่าพลังงานที่ต้องใช้สลายพันธะ ปฏิกิริยาจะเป็นแบบคายพลังงาน การคำนวณพลังงานของปฏิกิริยาศึกษาได้จากตัวอย่างต่อไปนี้

ตัวอย่าง 1   การสลายพันธะในโมเลกุล \displaystyle CCl_1  1  โมล* ออกเป็นอะตอมเดี่ยวต้องใช้พลังงานเท่าใด เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบดูดพลังงานหรือคายพลังงาน

                   \displaystyle CCl_4(g) \to C(g) + 4Cl(g)   
                   
                   \displaystyle CCl_4 1โมเลกุล มีพันธะ C - CI  4 พันธะ
                  พลังงานพันธะของ C - CI  =  327 kJ/mol
                  พลังงานที่ใช้สลายพันธะของ \displaystyle CCl_4  1 โมล เป็นดังนี้
                                                       =  4(C - CI) mol x 327 kJ/mol
                                                       =  1308 kJ
                  การสลายพันธะในโมเลกุล \displaystyle CCl_4    1โมล ต้องใช้พลังงาน 1308 กิโลจูล  และเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบดูดพลังงาน

ตัวอย่าง 2  ปฏิกิริยาการเผาไหม้แก๊สมีเทน \displaystyle (CH_4)   โมลได้ผลิตภัณฑ์เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ำ ปฏิกิริยานี้คายพลังงานหรือดูดพลังงานเท่าใด
                   \displaystyle CH_4(g)&nbsp; + 2CO_2(g) \to CO_2(g) + 2H_2 O (g)    
                    สารตั้งต้นในปฏิกิริยาที่เกิดการสลายพันธะคือ\displaystyle CH_4   และ\displaystyle O_2   
                   \displaystyle CH_4 1โมเลกุล มีพันธะ C - H    4  พันธะ
                   \displaystyle O_2   1โมเลกุล มีพันธะ O = O    1  พันธะ
                  พลังงานพันธะของ C - H  =  413 kJ/mol
                  พลังงานพันธะของ O - O  =  498 kJ/mol
                   พลังงานที่ใช้สลายพันธะของ\displaystyle CH_4โมลและ\displaystyle O_2 2โมล เป็นดังนี้
                                 = 4(C - H) mol x 413 kJ/mol  +  2(O - O) mol x 498 kJ/mol  
                                 = 1652 kJ  +  996 kJ
                                 = 2648 kJ
                  รวมพลังงานที่ใช้สลายพันธะในสารตั้งต้น = 2648 kJ =\displaystyle E_1  ผลิตภัณฑ์ในปฏิกิริยาที่เกิดพันธะใหม่คือ\displaystyle CO_2 และ\displaystyle H_2 O   
                   \displaystyle CO_2   1 โมเลกุล มีพันธะ C = O   2  พันธะ
                   \displaystyle H_2 O  1 โมเลกุล มีพันธะ H - O   2  พันธะ
                  พลังงานพันธะของ C = O  =  804 kJ/mol
                  พลังงานพันธะของ H - O  =  463 kJ/mol
                      การสร้างพันธะของ\displaystyle CO_2   1โมลและ\displaystyle H_2 O  2โมล คายพลังงานออกมาดังนี้
                                = 2(C = O) mol x (-804 kJ/mol) +
                                   4(H - O) mol x (-463 kJ/mol)  
                                = (-1680 kJ)  +  (-1852 kJ)
                                = -3460 kJ
                      รวมพลังงานที่คายออกในผลิตภัณฑ์ = -3460 kJ =\displaystyle E_1   
                    \displaystyle \Delta H = E_1+ E_2                                                   
                                =  (2648 kJ) + (-3460 kJ)
                                =  -812 kJ

                  พลังงานของปฏิกิริยาเท่ากับ -812 กิโลจูล และเป็นปฏิกิริยาแบบคายพลังงาน เนื่องจากพลังงานที่คายมากกว่าพลังงานที่ต้องใช้หรือดูดเข้าไป

ตัวอย่าง 3 เมื่อผ่านแก๊สคลอรีนไปทำปฏิกิริยากับแก๊สมีเทน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังสมการปฏิกิริยานี้ดูดหรือคายพลังงานเท่าใด สารตั้งต้นในปฏิกิริยาที่เกิดการสลายพันธะคือ\displaystyle CH_4 และ\displaystyle Cl_2
                   \displaystyle CH_4 1 โมเลกุล มีพันธะ C = H   4  พันธะ
                   \displaystyle Cl_2 1 โมเลกุล มีพันธะ CI - CI   1  พันธะ
                  พลังงานพันธะของ C = H  =  413 kJ/mol
                  พลังงานพันธะของ CI - CI  =  243 kJ/mol
พลังงานที่ใช้สลายพันธะของ\displaystyle CH_4 1โมลและ \displaystyle Cl_2 1โมล เป็นดังนี้
                           = 4(C - H) mol x 413 kJ/mol  +
              1(CI - CI) mol x 243 kJ/mol  
                           = 1652 kJ  +  243 kJ
                           = 1895 kJ
                          รวมพลังงานที่ใช้สลายพันธะในสารตั้งต้น = 1895 kJ = \displaystyle E_1
                          ผลิตภัณฑ์ในปฏิกิริยาที่เกิดพันธะใหม่คือ \displaystyle CH_3 Clและ HCI
                               \displaystyle CH_3 Cl    1  โมเลกุล  มีพันธะ  C - H     3  พันธะ
                                                                                       พันธะ  C - Cl    1  พันธะ
                               HCI                            1  โมเลกุล  มีพันธะ  H - Cl    1  พันธะ
                               พลังงานพันธะของ C - H  =  413 kJ/mol
                               พลังงานพันธะของ C - Cl =  327 kJ/mol
                               พลังงานพันธะของ H - Cl =  413 kJ/mol
                          การสร้างพันธะของ \displaystyle CH_3 Cl  1  โมลและ HCl   1 โมล  คายพลังงานออกมาดังนี้
                               =  3(C - H) mol x (-413 kJ/mol) +
                                   1(C - C) mol  x (-327 kJ/mol) +
                                   1(H - Cl) mol x (-413 kj/mol) 
                               =  (-1239 kJ) + (-327 kJ) + (-413 kJ)
                               =  -1997 kJ
                          รวมพลังงานที่คายออกในผลิตภัณฑ์  =  -1997 kJ  =  \displaystyle E_1      
                                                                  
                       =     (1895 kJ) + (-1997 kJ)
                       =     - 102 kJ
ปฏิกิริยานี้มีการคายพลังงานจำนวน 102 กิโลจูล


2.2.6  แนวคิดเกี่ยวกับเรโซแนนซ์
               โมเลกุลโคเวเลนต์บางชนิดที่มีพันธะคู่อยู่ในโมเลกุล เช่น โมเลกุลโอโซน \displaystyle (O_3)   พันธะโคเวเลนต์ที่เกิดระหว่างอะตอมของออกซิเจนกับออกซิเจนอีก 2 อะตอม ตามกฎออกเตตเขียนแสดงได้ดังนี้
  
                  จากโครงสร้างลิวอิสทั้งสองนี้แสดงว่าออกซิเจนอะตอมกลางสร้างพันธะเดี่ยวกับออกซิเจนอะตอมหนึ่งและสร้างพันธะคู่กับออกซิเจนอีกอะตอมหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าพันธะทั้งสองในโมเลกุลนี้มีความยาวไม่เท่ากัน แต่จากการศึกษาพบว่าความยาวพันธะระหว่างอะตอมออกซิเจนทั้งสองพันธะมีค่า 128 พิโกเมตรเท่ากัน ซึ่งเป็นค่าความยาวพันธะระหว่างพันธะเดี่ยวกับพันธะคู่ของออกซิเจนกับออกซิเจน (ความยาวพันธะของ O - O และ O = O เท่ากับ 148 และ 121 พิโกเมตรตามลำดับ) แสดงว่าพันธะทั้งสองในโมเลกุลเป็นพันธะชนิดเดียวกัน ดังนั้นโครงสร้างลิวอิส (ก) หรือ (ข) แบบใดแบบหนึ่งที่แสดงไว้ตอนแรกใช้แทนโมเลกุล \displaystyle O_3   ไม่ได้ จึงเขียนแทนด้วย โครงสร้างเรโซแนนซ์ ดังนี้

 

                  การที่พันธะระหว่างออกซิเจนกับออกซิเจนทั้ง 2 พันธะเหมือนกันนั้นเกิดจากการที่อิเล็กตรอน 1 คู่สร้างพันธะโคเวเลนต์ตามปกติและอิเล็กตรอน 1 คู่สร้างพันธะโคเวเลนต์ตามปกติ และอิเล็กตรอนอีก 1 คู่จะเคลื่อนที่ไปมาระหว่างอะตอมทั้งสาม อาจกล่าวได้ว่าออกซิเจนแต่ละคู่ใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน \displaystyle 1\frac{1}{2} คู่ และเขียนแทนด้วยโครงสร้างดังต่อไปนี้

 
                  โดยเส้นประแทนคู่อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ไปมา โครงสร้างเรโซแนนซ์อาจพบในโมเลกุลหรือไอออนชนิดอื่นๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

                  ฟุลเลอรีน (fullerene)เป็นรูปหนึ่งของธาตุคาร์บอนที่มีโครงสร้างเรโซแนนซ์ พูกค้นพบในปลายปี พ.ศ. 2528 โครงสร้างของฟุลเลอรีนมีหลายแบบ แต่ที่เสถียรที่สุด คือ บักมินสเตอร์ฟุลเลอรีน(buckminsterfullerene : \displaystyle C_60  ) หรือเรียกง่ายๆ ว่า บักกับอลล์ (buckyball) ซึ่งมีพันธะระหว่างคาร์บอนอะตอมต่อเนื่องกันคล้ายรอยตะเข็บบนลูกฟุตบอล

 

<b>ซัลเฟอร์ไดออกไซด์</b> \displaystyle (SO_2)  

 
<b>เบนซีน</b> \displaystyle C_6 H_6


 
<b>คาร์บอนเนตไอออน</b> \displaystyle (CO_3^{ - 2} )
 

2.2.7  รูปร่างของโมเลกุล
               การศึกษาในเรื่องความยาวพันธะทำให้ทราบระยะห่างระหว่างนิวเคลียสของอะตอมที่สร้างพันธะในโมเลกุลแต่ความยาวพันธะไม่สามารถบอกลักษณะการจัดเรียงอะตอมในโมเลกุลแบบสามมิติหรือรูปร่างโมเลกุลได้
เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับรูปร่างโมเลกุลของโมเลกุลที่มีจำนวนอะตอมตั้งแต่ 3 อะตอมขึ้นไป ให้ศึกษาการจัดเรียงตัวของลูกโป่งแล้วนำมาอุปมาอุปไมยกับการจัดเรียงอะตอมในโมเลกุลจากการทดอลงต่อไปนี้

การทดลอง 2.3  การจัดตัวของลูกโป่งกับรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์
                  1.  เป่าลูกโป่ง 6 ลูก ให้มีขนาดเท่าๆ กัน ผูกขั้วไว้ให้แน่น
                  2.  ผูกลูกโป่งที่เป่าแล้วเข้าด้วยกัน 2 ลูก สังเกตรูปร่างและทิศทางของลูกโป่งบันทึกผล
                  3.  ผูกลูกโป่งเพิ่มขึ้นเป็น  3   4   5 และ  6  ลูก โดยเพิ่มทีละลูก ตามลำดับ สังเกตรูปร่างและทิศทางบันทึกผล

                  -  ถ้าขั้วลูกโป่งที่ผูกติดกันเป็นอะตอมกลาง และลูกโป่งแทนกลุ่มหมอกของอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ ตำแหน่งของอะตอมที่สร้างพันธะกับอะตอมกลางควรอยู่ส่วนใดของลูกโป่ง
                  -  ถ้าลากเส้นจากปลายลูกโป่งเชื่อมต่อกัน เมื่อผูกลูกโป่ง  2   3   4   5 และ  6  ลูก ตามลำดับ จะได้รูปร่างอย่างไรบ้าง
                  -  ถ้าลากเส้นแสดงพันธะ จากขั้วลูกโป่งซึ่งแทนอะตอมกลางไปยังปลายลูกโป่งซึ่งแทนอะตอมที่สร้างพันธะกับอะตอมกลาง มุมระหว่างพันธะที่เกิดจากลูกโป่งผูกติด  2   3   4   5  และ  6  ลูก ตามลำดับ เป็นเท่าใด

                  จากผลการทดลองจะพบว่า เมื่อผูกลูกโป่งเข้าด้วยกันลูกโป่งจะเบียดกันเองจนชี้ไปในทิศทางต่างๆ ในลักษณะเช่นเดียวกันกับในโมเลกุลโคเวเลนต์ กลุ่มหมอกอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะรอบอะตอมกลางซึ่งมีประจุเหมือนกันจะผลักกันเอง ทำให้อิเล็กตรอนแต่ละคู่อยู่ห่างกันมากที่สุดเพื่อให้โมเลกุลมีพลังงานต่ำที่สุดและเกิดเสถียรภาพสูงสุด ถ้าให้ขั้วลูกโป่งที่พันติดกันแทนตำแหน่งของอะตอมกลาง ลูกโป่งแทนกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ ตำแหน่งของอะตอมอื่นที่สร้างพันธะกับอะตอมกลางจะอยู่ตรงปลายของลูกโป่งแต่ละลูก เมื่อลากเส้นระหว่างอะตอมกลางกับอะตอมสร้างพันธะต่อกัน จะช่วยให้มองเห็นทิศทางและมุมระหว่างพันธะรวมทั้งรูปร่างของโมเลกุลได้อย่างชัดเจน
                  นอกจากนี้เราอาจทำนายรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์โดยใช้แบบจำลองการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนที่อยู่ในวงเวเลนซ์ (Valence Shell Electron Pair Repulsion Model เขียนแบบย่อได้เป็น VSEPR) โดยพิจารณาจากจำนวนอิเล็กตรอนรอบอะตอมกลางเฉพาะที่อยู่ในระดับพลังงานนอกสุด ซึ่งอิเล็กตรอนเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับการเกิดพันธะเคมีและมีการจัดตัวให้อยู่ห่างกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้เพื่อลดแรงผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

1.  โมเลกุลที่อะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
               พิจารณาโมเลกุลที่ประกอบด้วยอะตอม 2 ชนิด คือ A และB โดยกำหนดให้ A เป็นอะตอมกลาง B เป็นอะตอมที่ล้อมรอบ และโมเลกุลมีสูตทั่วไปเป็น \displaystyle AB_x   
                  นักเรียนคิดว่าถ้าจำนวนอะตอมของ B ในสูตรทั่วไป \displaystyle AB_x  มีค่าแตกต่างกัน จะทำให้โมเลกุลมีรูปร่างแตกต่างกันอย่างไร ศึกษาได้ดังนี้

                   \displaystyle AB_2   : ตัวอย่างเช่น เบริลเลียมคลอไรด์ \displaystyle BeCl_2 มีอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 2 คู่รอบอะตอมกลาง เพื่อให้แรงผลักระหว่างอิเล็กตรอนมีค่าน้อยที่สุดแต่ละคู่จึงอยู่ที่ปลายด้านตรงข้ามของแนวเส้นตรงมีมุมระหว่างพันธะ Cl - Be - CI เท่ากับ \displaystyle 180^\circ รูปร่างโมเลกุลแบบนี้เรียกว่า เส้นตรง ดังรูป 2.15 (ก)

 
                   \displaystyle AB_3   : ตัวอย่างเช่น โบรอนไตรฟลูออไรด์\displaystyle BF_3 มีอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 3 คู่รอบอะตอมกลางโครงสร้างของ \displaystyle BF_3  ที่เสถียรจะมีพันธะ B - F  ชี้ไปที่มุมทั้งสามของสามเหลี่ยมด้านเท่าโดยมีอะตอมโบรอนอยู่ตรงกลางของสามเหลี่ยม มีมุมระหว่างพันธะ F - B - F เท่ากับ \displaystyle 120^\circรูปร่างโมเลกุลแบบนี้เรียกว่า สามเหลี่ยมแบบราบ ดังรูป 2.15 (ข)

 
                   \displaystyle AB_4   : ตัวอย่างเช่น มีเทน \displaystyle (CH_4) มีอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 4 คู่รอบอะตอมของคาร์บอนซึ่งเป็นอะตอมกลางมุมระหว่างพันธะ H - C - H ทุกมุมเท่ากับ \displaystyle 109.5^\circรูปร่างโมเลกุลแบบนี้เรียกว่า ทรงสี่หน้า ดังรูป 2.15 (ค)

 
                   \displaystyle AB_5   : ตัวอย่างเช่น ฟอสฟอรัสเพนตะคลอไรด์ \displaystyle (PCl_5)   มีอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 5 คู่รอบอะตอมกลาง เพื่อให้แรงผลักระหว่างอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะทั้ง 5 คู่มีค่าน้อยที่สุด จึงจัดเป็นรูปพีระมิดฐานสามเหลี่ยม 2 รูปประกบกัน โดยมีอะตอมฟอสฟอรัสอยู่ตรงกลาง มุมระหว่างพันธะด้านบนหรือพันธะด้านล่างกับพันธะในระนาบสามเหลี่ยมเท่ากับ\displaystyle 90^\circส่วนอะตอมที่อยู่ในระนาบสามเหลี่ยมมีมุมระหว่างพันธะ \displaystyle 120^\circรูปร่างโมเลกุลแบบนี้เรียกว่า พีระมิดคู่ฐานสามเหลี่ยม ดังรูป 2.15 (ง)


 
                   \displaystyle AB_6   : ตัวอย่างเช่น ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ \displaystyle (SF_6)  มีอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 6 คู่รอบอะตอมกลาง การจัดตัวที่เสถียรที่สุดของ\displaystyle SF_6  คือพันธะ S - F ทั้ง 6 พันธะจะชี้ไปที่มุมของรูปทรงที่มีแปดหน้า และมีอะตอมกำมะถันอยู่ตรงกลาง มุมระหว่างพันธะ F - S - F ที่อยู่ถัดกันทุกพันธะเท่ากับ \displaystyle 90^\circรูปร่างโมเลกุลแบบนี้เรียกว่า ทรงแปดหน้ ดังรูป 2.15 (จ)
 
รูป 2.15 รูปร่างโมเลกุลของสารโคเวเลนต์


                จากตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วจะพบว่าโมเลกุลที่มีสูตรเป็น \displaystyle AB_2   \displaystyle AB_3   \displaystyle AB_4   \displaystyle AB_5    และ\displaystyle AB_6  ซึ่งอะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว มีรูปร่างแตกต่างกันดังแสดงในตาราง 2.12

ตาราง 2.12  รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ที่อะตอมกลางไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
จำนวนพันธะสูตรทั่วไปรูปร่างโมเลกุลตัวอย่างโมเลกุล
2\displaystyle AB_2
เส้นตรง (linear)
\displaystyle BeCl_2   \displaystyle BeH_2   
\displaystyle HgCl_2
3\displaystyle AB_3
สามเหลี่ยมแบนราบ (trigonal planar)
          
   \displaystyle BF_3  
\displaystyle BCl_3   

4\displaystyle AB_4
ทรงสีหน้า (tetrahedral)
  \displaystyle CH_4 
\displaystyle CCl_4
\displaystyle NH_4^ +
5\displaystyle AB_5
พีระมิดคู่ฐานสามเหลี่ยม (trigonal bipyramidal)
\displaystyle PCl_5 
\displaystyle AsF_5
6\displaystyle AB_6
ทรงแปดหน้า (octahedral)
   \displaystyle SF_6
\displaystyle TeF_6     


2.  โมเลกุลที่อะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
ในโมเลกุลที่มีทั้งอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะและอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว จะมีแรงผลักกันระหว่างอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะและอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว ซึ่งแสดงแนวโน้มได้เป็นดังนี้

 
               การพิจารณารูปร่างโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวสามารถใช้แบบจำลอง VSEPR ได้เช่นเดียวกัน ถ้ากำหนดให้โมเลกุลมีสูตรทั่วไปเป็น\displaystyle AB_x E_y  เมื่อ A แทนอะตอมกลาง B แทนอะตอมที่อยู่รอบๆ และ E แทนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว x แทนจำนวนอะตอม (x = 2, 3, …) y แทนจำนวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวรอบอะตอมกลาง (y = 1, 2, …) โมเลกุลที่มีจำนวนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะและอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวแตกต่างกันจะมีรูปร่างโมเลกุลอย่างไรศึกษาได้ดังนี้
                   \displaystyle AB_2 E    : ตัวอย่างเช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ \displaystyle (SO_2)   มีอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ  3  คู่ และอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว 1 คู่ การจัดให้อิเล็กตรอนทั้งหมดอยู่ห่างกันมากที่สุดจะมีรูปคล้ายสามเหลี่ยมแบนราบแต่เนื่องจากมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวหนึ่งคู่ซึ่งมีแรงผลักมากกว่าแรงผลักระหว่างอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะด้วยกัน จึงผลักพันธะ S - O เข้าใกล้กันมุมระหว่างพันธะ O - S - O จึงน้อยกว่า \displaystyle 120^\circจากการทดลองพบว่ามุม O - S - O  เท่ากับ \displaystyle 119.5^\circรูปร่างโมเลกุลแบบนี้เรียกว่า มุมงอ ดังรูป 2.16 (ก)

                   \displaystyle AB_3 E    : ตัวอย่างเช่น แอมโมเนีย\displaystyle (NH_3) มีอิเล็กตรอนรอบไนโตรเจน 4 คู่ เป็นอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 3 คู่ และอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว 1 คู่ จากการทดลองพบว่ามุมระหว่างพันธะ H - N - H เท่ากับ \displaystyle 107.3^\circซึ่งน้อยกว่า \displaystyle 109.5^\circที่เป็ฯมุมในรูปทรงสี่หน้า ทั้งนี้เพราะแรงผลักระหว่างอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวมีมากกว่าอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะกับคู่ร่วมพันธะด้วยกัน รูปร่างโมเลกุลแบบนี้เรียกว่า พีระมิดฐานสามเหลี่ยม ดังรูป 2.16 (ข)

                   \displaystyle AB_2 E_2    : ตัวอย่างเช่น น้ำ \displaystyle (H_2 O)   โมเลกุลของน้ำประกอบด้วยอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 2 คู่ และอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว 2 คู่ อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวทั้งสองซึ่งต้องอยู่ห่างกันให้มากที่สุดจึงผลักให้พันธะ O - H ทั้งสองเข้าหากันและน้อยกว่ามุมพันธะในโมเลกุล \displaystyle NH_3 ซึ่งมีอิเล็กตรอนรอบอะตอมกลาง 4 คู่เท่ากันมุมระหว่างพันธะ H - O - H จึงมีค่าเท่ากับ \displaystyle 104.5^\circรูปร่างโมเลกุลแบบนี้เรียกว่า มุมงอ ดังรูป 2.16 (ค)

 
รูป 2.16 รูปร่างโมเลกุลของสารโคเวเลนต์ที่อะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว


                   โมเลกุลที่มีสูตรทั่วไปเป็น\displaystyle AB_x E_y   โดยที่ x และ y มีค่าแตกต่างกันและอะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวโมเลกุลจะมีรูปร่างแตกต่างกันดังแสดงในตาราง 2.13

ตาราง 2.13  ตัวอย่างรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ที่อะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
จำนวน
อิเล็กตรอน
คู่ร่วมพันธะ
จำนวน
อิเล็กตรอน
คู่โดดเดี่ยว
สูตรทั่วไปรูปร่างโมเลกุลตัวอย่าง
โมเลกุล
21\displaystyle AB_2 E
มุมงอ (bent หรือ V - shaped)   
\displaystyle SO_2  
\displaystyle O_3   
31\displaystyle AB_3 E
พีระมิดฐานสามเหลี่ยม
(trigonal pyramidal) 
\displaystyle NH_3\displaystyle PH_3
42\displaystyle AB_2 E_2
มุมงอ (bent หรือ V - shaped)

   \displaystyle H_2 O   
\displaystyle H_2 S  
51\displaystyle AB_4 E
ทรงสี่หน้าบิดเบี้ยว (distorted
Tetrahedral หรือ seesaw)
\displaystyle SF_4
\displaystyle XeO_2 F_2
32\displaystyle AB_3 E_2
รูปตัวที (T - shaped)  
\displaystyle ClF_3
23\displaystyle AB_2 E_3
เส้นตรง (linear)  
\displaystyle XeF_2
51\displaystyle AB_5 E
พีระมิดฐานสี่เหลี่ยม
(square pyramidal)
\displaystyle BrF_5
\displaystyle XeOF_4
\displaystyle IF_5
42\displaystyle AB_4 E_2

สี่เหลี่ยมแบนราบ (square planar)
\displaystyle XeF_4



2.2.8  สภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์
                 จากการศึกษาสารโคเวเลนต์ที่เกิดจากอะตอมชนิดเดียวกัน  เช่น\displaystyle H_2 พบว่าอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะจะกระจายอยู่รอบๆ อะตอมทั้งสองเท่ากัน พันธะที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้เรียกว่า พันธะโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว ดังรูป 2.17 (ก) 
                   แต่ในสารโคเวเลนต์ที่เกิดจากอะตอมต่างชนิดกันและมีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีแตกต่างกัน เช่น HCI อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะจะใช้เวลาอยู่กับอะตอม CI ซึ่งมีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีมากกว่าอะตอมของ H ทำให้อะตอม CI แสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างลบ ส่วน H มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีต่ำกว่าจะแสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างบวก พันธะที่เกิดขึ้นลักษณะเช่นนี้เรียกว่า พันธะโคเวเลนต์มีขั้ว ดังรูป 2.17 (ข)


 
รูป  2.17 การกระจายตัวของอิเล็กตรอนในโมเลกุลโคเวเลนต์


                 การแสดงขั้วของพันธะอาจใช้สัญลักษณ์ \displaystyle \delta ^ + (อ่านว่า เดลต้าบวก) กับอะตอมที่แสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างบวกและ \displaystyle \delta ^ -(อ่านว่า เดลต้าลบ) กับอะตะมที่แสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างลบ หรืออาจใช้เครื่องหมาย   \displaystyle \delta^+   โดยหัวลูกศรจะชี้ไปในทิศทางที่อะตอมแสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างลบ ส่วนท้ายลูกศรซึ่งคล้ายกับเครื่องหมายบวกจะอยู่บริเวณอะตอมที่แสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างบวก ดังนั้นขั้วของพันธะ H - CI จึงเขียนแสดงได้ดังนี้
 
                 โมเลกุลอะตอมคู่ที่ประกอบด้วยพันธะไม่มีขั้ว เช่น \displaystyle H_2   \displaystyle O_2    และ \displaystyle Cl_2   จะเป็น<b>โมเลกุลไม่มีขั้ว</b> แต่ถ้าโมเลกุลอะตอมคู่ประกอบด้วยพันธะมีขั้ว เช่น HF   HCI  และ HBr  จะเป็นโมเลกุลมีขั้ว
                 นักเรียนคิดว่าในโมเลกุลโคเวเลนต์ที่ประกอบด้วยอะตอมมากกว่า  2  อะตอมจะเป็นโมเลกุลมีขั้วหรือไม่พิจารณาอย่างไร ให้ศึกษาจากตัวอย่างโมเลกุล\displaystyle CO_2   ต่อไปนี้
 
                  เนื่องจากอะตอม O มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงกว่า C จึงดึงดูดอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะให้อยู่กับ O มากกว่า C เป็นผลให้ O แสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างลบและ C แสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างบอก พันธะ C = O จึงเป็นพันธะมีขั้ว แต่โมเลกุลของ \displaystyle CO_2   มีรูปร่างเป็นเส้นตรง พันธะ C = O ทั้งสองพันธะมีอำนาจไฟฟ้าเท่ากันและดึงดูดอิเล็กตรอนในทิศทางตรงข้ามกัน อำนาจไฟฟ้าจึงหักล้างกันหมด ทำให้ \displaystyle CO_2   เป็นโมเลกุลโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว ตัวอย่างโมเลกุลโคเวเลนต์ไม่มีขั้วที่มีรูปร่างเป็นแบบอื่นๆ ศึกษาได้จากตาราง 2.14

ตาราง 2.14  ตัวอย่างรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว
สูตรทั่วไปรูปร่างโมเลกุลทิศทางขั้วของพันธะตัวอย่างโมเลกุล
\displaystyle AB_2เส้นตรง\displaystyle CO_2   
\displaystyle BeCl_2  
\displaystyle AB_3
สามเหลี่ยม
แบนราบ 
   \displaystyle BF_3
\displaystyle BCl_3
\displaystyle BI_3
\displaystyle AB_4      ทรงสีหน้า \displaystyle SiH_4
\displaystyle CCl_4
\displaystyle AB_5พีระมิดคู่ฐานสามเหลี่ยม
\displaystyle PCl_5 
\displaystyle AsF_5
\displaystyle SbCl_5
           
\displaystyle AB_6  ทรงแปดหน้า  \displaystyle SF_6
\displaystyle TeF_6

   

                   จากตัวอย่างในตาราง 2.14  นักเรียนจะพบว่าในโมเลกุลโคเวเลนต์ที่อะตอมกลางสร้างพันธะกับอะตอมของธาตุชนิดเดียวและไม่มีเวเลนต์อิเล็กตรอนเหลืออยู่ แม้ว่าในโมเลกุลจะประกอบด้วยพันธะมีขั้วแต่โมเลกุลอาจไม่มีขั้วได้ทั้งนี้เพราะว่าโมเลกุลมีรูปร่างสมมาตรทำให้อำนาจไฟฟ้าที่มีขนาดเท่ากัน แต่มีทิศทางตรงข้ามกันหักล้างกันหมดไป
นักเรียนคิดว่าโมเลกุลโคเวเลนต์ที่อะตอมกลางใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนทั้งหมดสร้างพันธะกับอะตอมของธาตุต่างชนิดกันหรือในโมเลกุลที่อะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวจะเป็นโมเลกุลโคเวเลนต์มีขั้วหรือไม่ ให้ศึกษาจากตัวอย่างต่อไปนี้
 

                     โมเลกุลของไตรคอลโรมีเทน \displaystyle (CHCl_3)พันธะ C - H และพันธะ C - CI  เป็นพันธะมีขั้วและมีอำนาจไฟฟ้าแตกต่างกัน เมื่อพิจารณารูปร่างโมเลกุลพบว่าอำนาจไฟฟ้าของพันธะหักล้างกันไม่หมด \displaystyle CHCl_3จึงเป็นโมเลกุลโคเวเลนต์มีขั้ว โดยด้าน H แสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างบวก CI แสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างลบ
                  เมื่อพิจารณาโมเลกุลของแอมโมเนีย พันธะ N - H ทั้งสามเป็นพันธะมีขั้วที่มีอำนาจไฟฟ้าเท่ากัน แต่อะตอม N มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว 1 คู่ จึงทำให้โมเลกุลแอมโมเนียมีรูปร่างเป็นพีระมิดฐานสามเหลี่ยม อำนาจไฟฟ้าของพันธะหักล้างกันไม่หมด แอมโมเนียจึงเป็นโมเลกุลโคเวเลนต์มีขั้วโดยด้าน N แสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างลบ และ H แสดงอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างบวก
                  สำหรับโมเลกุลของน้ำเป็นโมเลกุลมีขั้วหรือไม่มีขั้วจะอธิบายได้อย่างไร


2.2.9  แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์
                   สารโคเวเลนต์มีทั้งที่เป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊สที่อุณหภูมิห้อง ในสถานะของแข็งอนุภาคของสารจะอยู่ชิดกันและมีแรงยึดเหนี่ยวต่อกันสูง แต่ในสถานะของเหลวอนุภาคจะอยู่ห่างกัน แรงยึดเหนี่ยวที่มีต่อกันน้อยลง และในสถานะแก๊สจะมีแรงยึดเหนี่ยวต่อกันน้อยมาก โมเลกุลของแก๊สจึงอยู่ห่างกัน เมื่อให้ความร้อนแก่สารจนถึงจุดหลอมเหลวหรือจุดเดือด อนุภาคของสารจะมีพลังงานสูงพอที่จะหลุดออกจากกัน และเกิดการเปลี่ยนสถานะได้จากปริมาณความร้อนที่ใช้เพื่อการเปลี่ยนสถานะของสาร ทำให้เราทราบว่าสารในสถานะของแข็งมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคสูงกว่าสารชนิดเดียวกันในสถานะของเหลว และสารในสถานะของเหลวมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคสูงกว่าในสถานะแก๊สดังนั้น จุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารจึงเป็นข้อมูลใช้พิจารณาเปรียบเทียบแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคของสารได้จุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารบางชนิดแสดงดังตาราง 2.15
ggg
<b>ตาราง 2.15  จุดหลอมเหลวและจุดเดือดของแก๊สมีตระกูลและสารโคเวเลนต์บางชนิด</b>
<b>สาร</b>    <b>มวล
โมเลกุล</b>    <b>สภาพ
ขั่วของ
โมเลกุล</b>    <b>จุด
หลอมเหลว
 (^\circ C)</b>    <b>จุดเดือด
 (^\circ C)        <b>สาร</b>    <b>มวล
โมเลกุล</b>    <b>สภาพ
ขั่วของ
โมเลกุล</b>    <b>จุด
หลอมเหลว
 (^\circ C)</b>    <b>จุดเดือด
 (^\circ C)</b>
He
Ne
Ar
Kr    4
20
40
84    ไม่มีขั้ว
ไม่มีขั้ว
ไม่มีขั้ว
ไม่มีขั้ว    -272
-249
-189
-157    -269
-246
-186
-152        displaystyle NH_3
displaystyle PH_3
displaystyle AsH_3
displaystyle SbH_3    17
34
78
125    มีขั้ว
มีขั้ว
มีขั้ว
มีขั้ว    -78
-133
-116
-88    -33
-88
-55
-17
displaystyle F_2
displaystyle Cl_2
displaystyle Br_2
displaystyle I_2    38
71
160
254    ไม่มีขั้ว
ไม่มีขั้ว
ไม่มีขั้ว
ไม่มีขั้ว    -220
-101
-7
114    -188
-35
59
184        displaystyle H_2O
displaystyle H_2S
displaystyle H_2Se
displaystyle H_2Te    18
34
81
130    มีขั้ว
มีขั้ว
มีขั้ว
มีขั้ว    0
-86
-64
-49    100
-60
-41
-2
displaystyle CH_4
displaystyle SiH_4
displaystyle GeH_4
displaystyle SnH_4    16
32
77
123    ไม่มีขั้ว
ไม่มีขั้ว
ไม่มีขั้ว
ไม่มีขั้ว    -182
-185
-165
-150    -161
-112
-88
-52        HF
HCl
HBr
Hl    20
36.5
81
128    มีขั้ว
มีขั้ว
มีขั้ว
มีขั้ว    -83
-114
-87
-51    19
-85
-67
-35

                จากข้อมูลในตาราง 2.15  สังเกตได้ว่าแก๊สเฉื่อยและสารโคเวเลนต์ไม่มีขั้วมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำมากแสดงว่าโมเลกุลของสารดังกล่าวนี้ยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงอย่างอ่อนซึ่งเป็นแรงที่มีปรากฎอยู่ในสารทั่วๆ ไป นอกจากนี้ข้อมูลในตารางยังแสดงให้เห็นว่าจุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นตามมวลโมเลกุล จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่าขนาดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลไม่มีขั้วขึ้นอยู่กับมวลโมเลกุล แต่สารบางชนิด เช่น \displaystyle CH_4  \displaystyle NH_3 \displaystyle H_2 O    และHF มีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกันแต่มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดแตกต่างกัน นักเรียนคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด
               นักเรียนทราบมาแล้วว่า \displaystyle CH_4 เป็นโมเลกุลโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว ส่วน \displaystyle NH_3  \displaystyle H_2 O   และ HF เป็นโมเลกุลโคเวเลนต์มีขั้วรวมทั้งมีชุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูงกว่า\displaystyle CH_4 แสดงว่าการมีขั้วหรือไม่มีขั้วของโมเลกุลเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลแตกต่างกัน โดยทั่วไปโมเลกุลโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว เช่น \displaystyle F_2   \displaystyle Cl_2  \displaystyle CH_4  และแก๊สเฉื่อย สามารถทำให้เป็นของเหลวได้ที่อุณหภูมิต่ำ ภายใต้ความดันสูงเพียงพอ แสดงว่าสารเหล่านี้มีแรงยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกันอย่างอ่อนๆ ที่เรียกว่า แรงลอนดอน แรงชนิดนี้เกิดจากการกระจายของอิเล็กตรอนในอะตอมขณะใดขณะหนึ่งซึ่งอาจไม่เท่ากันจึงทำให้เกิดเป็นโมเลกุลมีขั้วขึ้น ขั้วของโมเลกุลที่เกิดขึ้นนี้จะเหนี่ยวนำให้โมเลกุลที่อยู่ใกล้กันเกิดเป็นโมเลกุลมีขั้วขึ้นอีกและเกิดแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน แรงลอนดอนมีค่าสูงขึ้นตามมวลโมเลกุลหรือขนาดของโมเลกุล สำหรับโมเลกุลโคเวเลนต์มีขั้วจะมีแรงกระทำระหว่างขั้วซึ่งเกิดจากอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างบวกกับอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างลบของโมเลกุลที่อยู่ใกล้กันเกิดเป็น แรงดึงดูดระหว่างขั้ว นอกเหนือจากแรงลอนดอนที่มีอยู่ เป็นผลให้โมเลกุลเหล่านี้ยึดเหนี่ยวกันไว้อย่างแข็งแรง ขนาดของแรงดึงดูดระหว่างขั้วขึ้นอยู่กับความแรงของสภาพขั้วที่เพิ่มขึ้นตามความแตกต่างของอิเล็กโทรเนกาติวิตีของธาตุ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ทั้งแรงลอนดอนและแรงดึงดูดระหว่างขั้วรวมเรียกว่า แรงแวนเดอร์วาลส์  โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์มักกล่าวถึงแรงที่สำคัญหรือแรงที่มีความแข็งแรงมากกว่า เช่น ในโมเลกุลโคเวเลนต์มีขั้วมักจะกล่าวถึงเฉพาะแรงดึงดูดระหว่างขั้วเท่านั้น แต่ไม่กล่าวถึงแรงลอนดอน
                นอกจากนี้ยังมีแรงดึงดูดระหว่างขั้วอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความแข็งแรงมากและเป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลที่มีขนาดเล็ก แรงดังกล่าวจะเป็นแรงชนิดใดเราจะพิจารณาจากโมเลกุลของสารประกอบไฮโดรเจนแฮไลด์ ดังรูป 2.18

 
รูป 2.18  กราฟแสดงจุดเดือดของไฮโดรเจนแฮไลด์


               การที่ HF มีแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลสูงกว่าไฮโดรเจนแฮไลด์อื่นๆ อธิบายได้ว่าเพราะฟลูออรีนมีขนาดอะตอมเล็กและมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงที่สุด ผลต่างของอิเล็กโทรเนกาติวิตีระหว่างไฮโดรเจนกับฟลูออรีนมีค่ามากความหนาแน่นของอิเล็กตรอนในโมเลกุลของไฮโดรเจนฟลูออไรด์จึงอยู่ทางด้านอะตอมฟลูออรีนนานกว่าเป็นผลให้ด้านนี้มีอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างลบสูง ส่วนไฮโดรเจนมีอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างบวกสูง ด้วยเหตุนี้โมเลกุลจึงมีสภาพขั้วสูงมากทำให้แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของไฮโดรเจนฟลูออไรด์ด้วยกันเองมีค่าสูงมาก แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลที่เกิดจากอะตอมไฮโดรเจนกับอะตอมของธาตุที่มีขนาดเล็กและมีอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงเช่นนี้เรียกว่า พันธะไฮโดรเจน

                  - นักเรียนคิดว่าพันธะไฮโดรเจนกับพันธะในโมเลกุลของไฮโดรเจนเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

                  นอกจากไฮโดรเจนฟลูออไรด์แล้วมีสารใดอีกบ้างที่มีพันธะไฮโดรเจน พิจารณาได้จากกราฟแสดงจุดเดือดของสารโคเวเลนต์ที่เกิดจากการรวมตัวระหว่างไฮโดรเจนกับธาตุหมู่ IVA   VA   VIA  และ VIIA  ดังรูป 2.19

 
รูป 2.19  กราฟแสดงจุดเดือดของสารประกอบไฮโดรด์ของธาตุหมู่ IVA   VA   VIA  และ  VIIA


                จากกราฟจะพบว่าจุดเดือดของสารประกอบของไฮโดรเจนกับธาตุหมู่ IVA   VA  VIA   และ VIIA  มีแนวโน้มเหมือนกัน กล่าวคือจุดเดือดสูงขึ้นเมื่อมวลโมเลกุลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ\displaystyle H_2 O   และ\displaystyle NH_3 ซึ่งมีจุดเดือดสูงเช่นเดียวกับ HF และสูงกว่าสารอื่นๆ ในหมู่เดียวกัน นักเรียนคิดว่า \displaystyle H_2 O   และ\displaystyle NH_3 น่าจะมีพันธะไฮโดรเจนเหมือนกับ HF หรือไม่
                 โมเลกุลของ \displaystyle H_2 O   และ \displaystyle NH_3 มีสภาพขั้วของพันธะ O - H และ N - H ในโมเลกุลสูงมาก อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะจึงถูกดึงให้เข้ามาใกล้อะตอมของ O และ N นานมากกว่าทางด้านอะตอมของ H เมื่อโมเลกุลของสารแต่ละชนิดเข้าใกล้กัน ไฮโดรเจนซึ่งมีความหนาแน่นของอิเล็กตรอนน้อยและมีอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างบวกสูง จะดึงดูดกับอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของอะตอมที่มีความหนาแน่นของอิเล็กตรอนมากและมีอำนาจไฟฟ้าค่อนข้างลบของอีกโมเลกุลหนึ่งเกิดเป็นพันธะไฮโดรเจน แสดงว่าในโมเลกุลที่ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนกับธาตุ F  O และ N  สามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุล ดังรูป 2.20

 


2.2.10  สารโครงผลึกร่างตาข่าย
                 สารโคเวเลนต์ที่ศึกษามาแล้วมีโครงสร้างโมเลกุลขนาดเล็ก มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำ แต่มีสารโคเวเลนต์บางชนิดมีโครงสร้างโมเลกุลขนาดยักษ์ มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูงมาก เนื่องจากอะตอมสร้างพันธะโคเวเลนต์ยึดเหนี่ยวกันทั้งสามมิติเกิดเป็นโครงสร้างคล้ายตาข่าย สารประกอบนี้เรียกว่า สารโครงผลึกร่างตาข่าย ตัวอย่างสารโครงผลึกร่างตาข่ายเช่น

เพชร
                  เพชรเป็นอัญรูปหนึ่งของคาร์บอนและเป็นผลึกโคเวเลนต์ ในโครงสร้างเพชร คาร์บอนแต่ละอะตอมใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนทั้งหมดสร้างพันธะโคเวเลนต์กับอะตอมอีก 4 อะตอมที่อยู่ล้อมรอย เพชรจึงไม่นำไฟฟ้า มีความยาวพันธะ C - C 154 พิโกเมตร การจัดอะตอมในผลึกเพชรคล้ายตาข่ายโยงกันทั้ง 3 มิติ  เป็นผลให้อะตอมของคาร์บอนยึดกันไว้แน่น เพชรจึงมีความแข็งแรงสูงที่สุด  มีจุดหลอมเหลวสูงถึง 3550 และมีจุดเดือดสูงมากถึง 4830 แบบจำลองโครงสร้างของเพชรเป็นดังรูป 2.21

 
รูป 2.21  แบบจำลองโครงสร้างของเพชร

แกรไฟต์
                แกรไฟต์เป็นผลึกโคเวเลนต์และเป็นอีกอัญรูปหนึ่งของคาร์บอนแต่มีโครงสร้างแตกต่างจากเพชร กล่าวคืออะตอมของคาร์บอนจัดเรียงตัวเป็นชั้นๆ และสร้างพันธะโคเวเลนต์ต่อกันเป็นวง วงละ 6 อะตอมต่อเนื่องกันอยู่ภายในระนาบเดียวกัน พันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนที่อยู่ในชั้นเดียวกันมีความยาว 140 พิโกเมตร แต่จากข้อมูลโดยทั่วไปพบว่าพันธะเดี่ยวระหว่างอะตอมของคาร์บอน (C - C) มีความยาว 154 พิโกเมตร และพันธะคู่ระหว่างอะตอมของคาร์บอน (C = C) มีความยาว 134 พิโกเมตร แสดงว่าอะตอมของคาร์บอนในชั้นเดียวกันของแกรไฟต์ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะที่มีความยาวอยู่ระหว่างพันธะเดี่ยวกับพันธะคู่ ส่วนอะตอมของคาร์บอนในแต่ละชั้นอยู่ห่างกัน 340 พิโกเมตรการจัดอะตอมเป็นโครงผลึกร่างตาข่ายนี้ส่งผลให้อะตอมของคาร์บอนยึดกันไว้แน่น ทำให้แกรไฟต์มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง
คาร์บอนอะตอมในโครงผลึกของแกรไฟต์มี 4 เวเลนซ์อิเล็กตรอน แต่ละอะตอมจะสร้างพันธะกับคาร์บอน 3 อะตอมที่อยู่ใกล้เคียงกัน จึงมี 1 อิเล็กตรอนอิสระที่เคลื่อนที่ไปทั่วภายในชั้น ด้วยเหตุนี้แกรไฟต์จึงนำไฟฟ้าได้ดีเฉพาะภายในชั้นเดียวกัน จากการที่คาร์บอนอะตอมในแต่ละชั้นของแกรไฟต์อยู่ห่างกัน 340 พิโกเมตร ซึ่งมีค่ามากกว่าความยาวของพันธะเดี่ยวระหว่างคาร์บอน แสดงว่าคาร์บอนอะตอมระหว่างชั้นไม่ได้สร้างพันธะโคเวเลนต์กัน แต่ยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงแวนเดอร์วาลส์ที่ไม่แข็งแรงเท่ากับพันธะโคเวเลนต์ในชั้นเดียวกัน แกรไฟต์จึงเลื่อนไถลไปตามชั้นได้ง่าย ทำให้มีสมบัติในการหล่อลื่นได้ดี เราจึงใช้แกรไฟต์ทำไส้ดินสอดำและเป็นสารหล่อลื่น นอกจากนี้ยังใช้ทำสีผ้าหมึกสำหรับเครื่องพิมพ์ดีดและเครื่องพิมพ์สำหรับคอมพิวเตอร์ แบบจำลองโครงสร้างของแกรไฟต์เป็นดังรูป 2.22
 

รูป 2.22  แบบจำลองโครงสร้างของแกรไฟต์

ซิลิคอนไดออกไซด์  (SiO_2) หรือซิลิกา
               ซิลิคอนไดออกไซด์เป็นผลึกโคเวเลนต์มีโครงสร้างเป็นผลึกร่างตาข่าย อะตอมของซิลิคอนจัดเรียงตัวเหมือนกับคาร์บอนในผลึกเพชร แต่มีออกซิเจนคั่นอยู่ระหว่างอะตอมของซิลิคอนแต่ละคู่ ผลึกซิลิคอนไดออกไซด์จึงมีจุดหลอมเหลวสูงถึง 1730 \displaystyle C \equiv Cและมีความแข็งสูง ในธรรมชาติพบซิลิคอนไดออกไซด์ได้หลายรูป เช่น ควอตซ์ ไตรดีไมต์ และคริสโตบาไลต์ ใช้เป็นวัตถุดิบในการทำแก้ว ทำส่วนประกอบของนาฬิกาควอตซ์ ใยแก้วนำแสง (optical fiber) แบบจำลองโครงสร้างของ \displaystyle SiO_2แสดงได้ดังรูป 2.23
 

รูป 2.23  แบบจำลองโครงสร้างของ \displaystyle SiO_2